เบื้องหลังของเปลวเพลิง
ภาคที่ ๑
เจ้าหญิงผู้ถูกสาป
ตอนที่ ๑ คำทำนาย
เป็นเวลานานแล้ว ก่อนที่ผืนแผ่นดินของทวีปเรเนอแลนด์จะลุกเป็นไฟ
ก่อนที่เพลิงแค้นและความทะยานอยากจะคุกกรุ่น
มีบางอย่างที่ประวัติศาสตร์ต้องสารภาพความจริง มีบางสิ่งที่โลกต้องรับรู้ เรื่องราวก่อนที่....ความบ้าคลั่งจะพัดโหมกระหน่ำ
เรเนอแลนด็ ทวีปแห่งความหลากหลาย ทั้งเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ วัฒนธรรม ภาษา และความคิด
ทิศเหนือจรดสุดขอบโลก ทิศใต้จรดมหาสมุทรกรีนพีช ทิศตะวันออกจรด ทวีปซานาเอล ทวีปอันดับสองของโลก
และทิศตะวันตกประชิดพรมแดนทวีปโรรัน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า
นี่เป็นสภาพทางภูมิศาสตร์คร่าวๆของแผ่นดินที่ธรรมชาติเป็นผู้สร้าง ถ้าหากจะนับเชื้อชาติที่อาศัยอยู่บน
แผ่นดินนี้ก็ได้เกือบ ๕๐ เผ่าพันธุ์ ทั้งมนุษย์ ภูติ เงือก เวหา ยักษ์ คนแคระ
หุ่นยนต์ ฯลฯ ตลอดจน ปีศาจ
จอมจักรพรรดิปีศาจคาไรเซอร์ ครอบครอง แผ่นดินทางเหนือที่ต่อไปจนถึงสุดขอบโลก
แม้ว่าพระองค์จะมีทั้งดินแดนและอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าใครเช่นนั้นก็ตามที แต่ก็ดูเหมือนว่า มันจะไร้ค่า
องค์จักรพรรดิชื่นชมการฆ่าฟัน การต่อสู้ การทำสงคราม และการนองเลือด กล่าวกันว่าพระองค์ใช้เวลาตลอดช่วงปีใหม่
คร่ำเคร่งกับการวางแผนการรบ และใช้เวลาน้ำชายามบ่ายอ่านตำราพิชัยสงคราม บุคคลที่ชื่นชมการรบถึงเพียงนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภายในอาณาจักรปีศาจ อัลซาบันของพระองค์จะมีอะไรที่รื่นรมย์ไปกว่า การชิงชัย
เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ในขณะที่หญิงสาวในชุดคลุมท้องนั่งจิบชาอยู่เพียงลำพังในบริเวณอุทยานหลวงของอัลซาบัน
นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่แกะสลักลายมังกรไว้อย่างหยาบๆ มือขวายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ในขณะที่มือซ้ายพลิกหน้าหนังสือที่วางไว้บนโต๊ะ
ไม่มีเสียงนกร้องในบริเวณนั้น ไม่มีเสียงใบไม้ไหว และไม่มีเสียงลม เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าชั่วโมงที่นางนั่งอยู่เช่นนั้น
ก่อนที่เหล่านางกำนัลจะเข้ามา
" องค์จักรพรรดิรับสั่งหาเพคะ " นางกำนัลที่เดินนำเป็นหัวแถวกล่าว
น้ำเสียงแสดงอาการหวาดหวั่นเล็กน้อย
" ทำไมเขาถึงไม่มาเอง ราชกิจยุ่งมากสินะ " น้ำเสียงของนางที่ตอบกลับเรียบง่าย
" ราชฑูตจากต่างแดนขอเข้าเฝ้าอยู่เพคะ "
" .....งั้นเราก็คือหนึ่งในราชกิจงั้นสินะ "
นางไม่รอฟังคำตอบจากเหล่านางกำนัล กลับพยุงตัวลุกขึ้นและเดินนำไปทางท้องพระโรง
เหล่านางกำนัลพยายามที่จะตามเสด็จ
แต่แม้จะพยายามเร่งฝีเท้าเท่าไหร่ก็ตามพระนางไม่ทัน
ในเวลาเดียวกัน องค์จักรพรรดิคาไรเซอร์ตลอดจนเหล่าเสนาบดีแห่งอัลซาบันต่างก็รวมกันอยู่ที่ท้องพระโรง
ในวาระที่เหล่าอาคันตุกะจาก เซเซล , วาเรน และไกอา มาเยี่ยมเยียน
" นี่คือ ดาบ ที่ทำจากเขี้ยวของมังกรในตำนานพะย่ะค่ะองค์จักพรรดิ ทารันด้า
อัศวินในตำนานของ
วาเรน นำมันกลับมาหลังจากเดินทาง ๑๐ปี ๑๐เดือน๑๐วัน ไปยังทวีปศักดิ์สิทธิ์
ชาววาเรนต่างก็ยินดีถวายสิ่งมีค่าคู่บ้านคู่เมืองนี้เป็นของขวัญในวันพระราชสมภพของเจ้าชายแห่งอัลซาบันพะย่ะค่ะ " คอส
ราชฑูตจากเผ่าเอลฟ์ พูดพลางเปิดฝากล่องที่ทำจากทองคำ สิ่งที่อยู่ในนั้นคือดาบที่เปล่งแสงสีทอง
สว่างไสว มีแสงจากอัญมณีแวววาวจากด้ามดาบ จนแสบตา แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งมีค่า
" เป็นอย่างไรบ้างพะย่ะค่ะ " ท่านคอสมีรอยยิ้มแสยะออกมาอย่างผู้มีชัยชนะทีเดียว
ก่อนที่อีกเสียงหนึ่งจะขัดคออกมา
" ของขวัญแด่เจ้าชายชาตินักรบของอัลซาบัน กลับเป็นดาบของเล่นยังงั้นเรอะ
" หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามกล่าวขึ้น นางคือ
ท่านหญิงคลาร่า ราชนิกูลระดับสูงของเซเซลดินแดนของแม่มด
" ขอประทานอภัยเพคะ องค์จักรพรรดิ ท่านเสนาบดี และท่านราชฑูตจากวาเรน ข้าไม่เชื่อว่าอัศวินหญิงทารันด้า
ผู้มีชื่อเสียงของวาเรนจะเดินทางเป็นเวลานาน๑๐ปี ๑๐เดือน ๑๐วันเพื่อดาบกิ๊กก๊อกเช่นนี้
ถ้าไม่ใช่ว่าอัศวินทารันด้าตาบอดตอนที่หยิบดาบนี่กลับมา ก็คงเป็นที่ชาววาเรนเกิดหวงสมบัติคู่บ้านคู่เมือง แต่สำหรับข้าไม่ว่าทางไหน
การนำดาบที่ไม่มีค่าแบบนี้มา เป็นการดูหมิ่นเกียรติของเจ้าชายและองค์จักรพรรดิชัดๆ "
วาจาของท่านหญิงคลาร่าทำให้การวิพากษ์วิจารณ์ของขวัญจากวาเรนเป็นไปในทางลบหนักขึ้นไป
" เกินไปแล้วท่านหญิง ถ้าคิดแบบนั้นไหนล่ะของจากเซเซล คงไม่แคล้วเป็นพวกกบ
เขียด หรือคางคก ชนิดใดชนิดหนึ่งล่ะสิ " คอสกล่าว
ในตอนท้ายกล่าวสบถออกมาหลายคำ
ท่านหญิงคลาร่าโค้งให้กับองค์จักรพรรดิ ซึ่งยังคงประทับนิ่ง นางบรรจงเปิดกล่องเล็กๆที่มีขนาดเท่าฝ่ามือออก
" ก้อนหิน เซเซลนำก้อนหินมาเป็นบรรณาการ " คอสหัวเราะ แต่ก็ต้องหยุดหัวเราะทันทีเมื่อรู้สึกถึงรัศมีแปลกประหลาดที่พวยพุ่งออกมา
" องค์จักรพรรดิเพคะ นี่คือหินต้องสาปแห่งเซเซล เป็นหินที่เป็นต้นเหตุแห่งโศกนาฏกรรม
๓๒ ครั้ง ตามตำนาน "
"....คิดยังไงถึงเอาของแบบนี้มาที่นี่ " เสนาบดีคนหนึ่งของอัลซาบันกล่าวขึ้น
" ..เพราะประวัติของมันมีจุดที่น่าสนใจ เจ้าของของหินก้อนนี้ทุกคน ไม่สิทุกพระองค์คือจักรพรรดิ
แม้จะต่างเผ่าพันธุ์
ต่างยุคสมัยแต่พระนามยังคงจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ แน่นอนว่าหาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียวจะไม่พบ "
ไม่มีใครคัดค้าน หินต้องสาปอาจฟังดูไม่เหมาะกับงานมงคล แต่สำหรับแดนปีศาจนี่อาจจะเป็นของขวัญที่พิเศษสุดก็ได้
" ถ้าไม่มีใครคัดค้าน ข้าคงสามารถถวายบรรณาการได้กระมัง " ราชฑูตคลาร่าก้าวมากลางท้องพระโรง
และกำลังวางของขวัญจากเซเซลลงบนพาน ที่เตรียมไว้ แต่ขณะนั้นเอง...
" พระราชินีเสด็จแล้ว " นายทวารร้องเตือนขึ้น ทำให้ทุกฝ่ายต้องกลับเข้าประจำที่
แน่นอนว่าท่าน
คลาร่าเองก็เช่นกัน พระราชินีเสด็จออกทองพระโรงในชุดคลุมท้องสีดำสนิท เส้นพระเกศาสีดำสนิทรวบเป็นมวยไว้ด้านหลัง
ฝีเท้าของพระองค์ไม่เหมือนสตรี ไม่เหมือนภรรยา และไม่เหมือนหญิงท้องแก่ พระนางขึ้นประทับเคียงคู่กับองค์จักรพรรดิ
ปลายสายพระเนตรมองบุคคลโดยรอบ แต่ไม่ได้ตรัสกับผู้ใดเป็นพิเศษ
" ยินดีต้อนรับท่าน พระราชินี " องค์จักรพรรดิเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายขึ้นก่อน
พระราชินีคำนับรับก่อนที่จะกล่าวตอบ
" ขอบพระทัยเพคะ ไม่ทราบว่ามีธุระอันใด "
" เรามีเรื่องรบกวนท่าน ขณะนี้ดังที่ท่านทราบว่าราชฑูตจาก วาเรน เซเซล และไกอา
มาเยี่ยมเยียนพวกเรา
และต่างก็นำของขวัญมามอบแด่ลูกชายของพวกเรา เพียงแต่ว่าธรรมเนียมของอัลซาบันจะรับบรรณาการจากประเทศเพียง ๑
ประเทศในรอบหนึ่งปีเท่านั้น และถึงแม้นี่จะเป็นปีมงคล เราก็จำเป็นต้องเคร่งครัดในประเพณี " องค์จักรพรรดิอธิบาย
พระราชินีคำนับรับคำอีกครั้งหนี่ง
" ทรงต้องการให้ข้าเลือกสินะเพคะ " พระนางตอบรับพลางหันกลับมามองที่ราชฑูตทั้งสาม
" พวกท่านใครนำสิ่งใดมาบ้าง "
" นี่คือดาบคู่บ้านคู่เมืองของวาเรนพ่ะย่ะค่ะ โปรดทอดพระเนตร " ท่านคอสนำดาบออกมาจากกล่องพร้อมกับยกขึ้นเหนือศีรษะตนเอง
" ไกลเกินไป เรามองไม่ถนัด นำมาใกล้ๆสิท่านราชฑูตแห่งวาเรน "
ท่านราชฑูตค่อยๆเดินเข้าไปเบื้องพระพักตร์คงค์ราชินี แล้วจึงถวายดาบทองคำให้พระองค์ ฝ่าย
องค์ราชินีพลิกดูดาบสองสามครั้ง ทันใดนั้น....พระนางโยนดาบจากวาเรนลงกองกับพื้น
ราวกับว่ามันไม่มีราคาค่างวดอันใด
" ฝ่าพระบาท " ท่านคอสถึงกับร้องขึ้นด้วยความตกใจสุดขีด
" ข้าเชื่อว่ากษัตริย์แห่งวาเรนไม่ได้ส่งท่านมาแน่ ดาบนี่มีค่าสูงส่งก็จริง
แต่ไม่มีวิญญาณ
ของคู่บ้านคู่เมืองที่อัศวินทารันด้าดั้นด้นไปนำมาจากนครศักดิ์สิทธิ์ ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกคนรุ่นหลังลบหลู่ถึงเพียงนี้
เอาล่ะ...เชื้อพระวงศ์ท่านไหนของวาเรนกันแน่ที่ส่งท่านมา ต้องการกำลังทหารจากอัลซาบันซักเท่าไหร่จึงจะดีล่ะ
ในการยึดอำนาจจากกษัตริย์ทาเรนนอฟที่๓ แห่งราชวงศ์วาเรน " ราวกับทรงรู้ทุกสิ่ง พระราชินีไม่ได้ทรงเดือดแค้นในพระสุรเสียง
ตรงกันข้ามราวกับน้ำแข็งรายล้อมพระองค์อยู่
" ทรงตรัสอะไรเช่นนั้น " คอสมีท่าทางปริวิตกขึ้นทันดี พยายามหาทางที่จะแก้ต่างอย่างชุลมุน
แต่ก็ไร้ประโยชน์
ทันทีที่พระจักรพรรดิออกคำสั่งหัวของคอสแห่งวาเรนก็กระเด็นหลุดจากบ่า กลิ้งไปสะดุดอยู่ที่ปลายเท้าของ คลาร่าแห่งเซเซล
สีหน้าของนางซีดเผือดลงทันที
" ของท่านล่ะ ท่านหญิงคลาร่า "
ทันทีที่ได้ยินรับสั่ง คลาร่ารู้สึกหนาวเย็นขึ้นจับใจ พระราชินีที่เป็นเพียงหญิงท้องแก่ใกล้คลอดผู้นี้
ไม่มีเงาของมารดาปรากฏอยู่แม้แต่น้อยนิด
" ข้ารู้จัก หินต้องสาปแห่งเซเซล คงต้องชมว่าเซเซลฉลาดมากที่พยายามหาสิ่งนี้มาให้ลูกข้า
ผู้ที่ได้ครอบครองหินนี้ ๖
คนคืออดีตจักรพรรดิ ๖ คนคือพระราชินี ๑๒ คนคือราชา และอีก๑๒คนคือเจ้าผู้ครองแคว้น "
" เพคะ "
" แต่นักประวัติศาสตร์ของเซเซลลืมไปรึเปล่าว่าตอนจบเกิดอะไรขึ้น......"
" เพคะ......"
" บัลลังก์เลือดก็จบลงที่เลือด จักรพรรดิองค์ถัดมาต่างก็สังหารจักรพรรดิก่อนหน้าตน
การรบราในประเทศลุกลามจนนองไปด้วยเลือดทั่วภาคพื้นทวีป และสุดท้ายก็ร้างและล่มจมกันหมด
ไม่รู้มาก่อนเลยว่าชาวเซเซลมีความปรารถนาเช่นนั้นต่ออัลซาบันด้วย "
ดูเหมือนท่านหญิงจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง นางหน้าซีด และทันทีที่ทหารเข้ามาจับกุมนางไว้
นางก็หมดสติไปทันที
" พาไปที่คุกใต้ดิน " องค์จักรพรรดิรับสั่ง
" ไม่น่าเชื่อว่ายังเหลือท่านเป็นคนสุดท้ายนะ ท่านเจมิล " จักรพรรดิคาไรเซอร์ตรัสเช่นนั้นกับฑูตท่านสุดท้ายที่ยังคงยืนนิ่งอยู่
" ท่านมีอะไรมาล่ะ ขอบอกไว้ก่อนนะว่าแม้ท่านที่เป็นสหายสนิทขององค์จักรพรรดิก็ตาม
ถ้าไม่ทำให้เราพอใจ
ท่านก็ต้องตอบแทนตามธรรมเนียม......แต่ไม่น่าเชื่อว่าแคว้นของท่านจะต้องการการสนับสนุนจากอัลซาบันด้วย " พระราชินีตรัส
เจมิลก้าวออกมาเบื้องหน้า ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าการแต่งกายของเขาเป็นชุดที่เรียบง่าย ต่างจากราชฑูตคนอื่น ใบหน้ามีรอยเปื้อนยิ้ม
ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดน่าวิตก ที่สำคัญดูเหมือนว่า สองมือของเขาไม่มีสิ่งที่ดูว่ามีค่าอยู่แม้แต่น้อย
" อย่างที่พระองค์ตรัส ฝ่าบาท แคว้นไกอาไม่มีความจำเป็นในการขอความช่วยเหลือใดๆจากอัลซาบัน
และข้าก็ไม่ได้เป็นฑูตเสียด้วย "
น้ำเสียงของเจมิลดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านในสิ่งที่เขาพูดด้วนซ้ำ ทหารเตรียมอาวุธครบมือ และจ้องมาที่เขา เจมิลยังคงยิ้ม
" ข้าเหนื่อยใจกับท่านจริงๆ แล้วท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใด " ราชินีที่เย็นชาเมื่อครู่
ยิ้มน้อยๆออกมาได้
พระนางหันกลับไปหาพระสวามีอย่างขอความเห็น
" ข้าเองก็อยากรู้ เจมิล " จักรพรรดิตรัส
" เพื่อมอบของขวัญไงพะย่ะค่ะ อย่างที่ทราบว่าข้าเป็นนักทำนายอันดับหนึ่งของไกอา
แผ่นดินของจอมเวทย์
และแม้พวกท่านหรือใครๆในอัลซาบันจะไม่ชอบการทำนายสักเท่าไหร่
แต่กับการที่นักพยากรณ์อันดับหนึ่งของเรเนอแลนด์เช่นข้ามาทำนายให้ถึงที่ คงจะไม่รังเกียจ "
องค์จักรพรรดิทรงแย้มสรวลขึ้นทันที แต่ก่อนที่จะตอบรับทรงหันกลับมามองสีพระพักตร์ของพระราชินี
และในที่สุดก็ทรงตรัสขึ้น
" เอาสิสหายรัก ดูเหมือนราชินีของเราก็รู้สึกสนใจในศาสตร์นี้อยู่บ้างเช่นกัน
"
" ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง ฝ่าบาท" เจมิลตอบรับ " เช่นนั้นขอเชิญท่านทั้งสองรับฟังคำทำนายเป็นการส่วนพระองค์จะดีกว่า
"
เจมิลพร้อมกับฝ่าบาททั้งสองเข้ามายังห้องพิธีกรรม เมื่อเห็นว่าไม่มีบุคคลใดแล้วเจมิลจึงได้ร่ายเวทย์
เบื้องหน้าของผู้สูงศักดิ์ทั้งสองปรากฏวงกลมใสขนาดใหญ่ขึ้น เจมิลเรียกมันว่าลูกแก้วจิต
" ท่านมั่นใจรึว่าทารกในครรภ์คือพระโอรส " เจมิลถาม
" เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นผู้หญิง " องค์จักรพรรดิตอบ
" ถ้าเป็นหญิง คงจะน่าสมเพชเอาเสียมากๆ ลูกสาวชาวมนุษย์ในแดนปีศาจเช่นนี้น่ะ
" ราชินีถอนใจ "
แต่มันคงเป็นความรู้สึกของคนกำลังจะเป็นแม่กระมัง ที่จนในที่สุดก็ต้องรักลูกของตนเองทุกคน "
เจมิลยิ้มให้กับคำตอบของพระราชินี " พวกท่านอยากทราบอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับรัชทายาทในพระครรภ์ไหมล่ะ
"
" หญิงหรือชาย " ว่าที่พระราชบิดาถามขึ้นก่อน
" ท่านไม่จำเป็นต้องทราบหรอกฝ่าบาท เขาเป็นเด็กที่จะไม่ทำให้อัลซาบันผิดหวังแน่นอน
....ข้าหมายถึงเฉพาะอัลซาบันนะ " เจมิลตอบ
" เล่นสำนวน เราถึงได้เกลียดพวกหมอดูยังไงเล่า ...งั้นเขาก็คงเป็นคนที่จะตอบสนองความปรารถนาของเรา
"
เจมิลยิ้มอีกครั้งก่อนที่จะตอบคำถามข้อที่สองขององค์จักรพรรดิ " เขาเป็นเด็กที่เกิดมาเพื่อให้ท่านผิดหวังและช้ำใจ
ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะให้ท่านนอกจากความเจ็บแค้นและว้าวุ่น "
ถึงตอนนี้องค์จักรพรรดิหัวเราะขึ้นทีเดียวกับคำทำนายของนักทำนายที่เก่งกาจที่สุดบนแผ่นดิน
เรเนอแลนด์
" ไม่ทำให้อัลซาบันผิดหวังแต่จะทำให้เราช้ำใจ...เจมิล สหายรักของเรา เราเชื่อว่าเจ้าสับสนกับการทำนายของตนเองเสียแล้ว
"
" นั่นเพราะท่านเชื่อว่า ท่านคืออัลซาบัน...แต่ว่าฝ่าบาท ในอนาคตที่ห่างไกลแผ่นดินนี้จะตอบรับ
จอมทัพท่านใหม่อย่างแน่นอน ...ท่านยังคงคิดจะเลี้ยงเด็กเช่นนี้ไว้อีกงั้นรึ "
เจมิลถาม
" ข้าอยากเห็นหน้ามันใจแทบขาด เจ้าว่าที่ลูกทรพี ตาท่านแล้วราชินี ลูกของท่าน
"
พระราชินีไม่ได้ชายตากลับไปมองพระสวามีเสียด้วยซ้ำ พระนางมองไปที่ลูกแก้วจิตตรงหน้า
พึมพำอยู่สองสามคำ " ท่านเจมิล
คนในภาพนี้คือ..." น้ำเสียงของพระนางสั่น และดวงตาก็ไหวราวกับจะหลั่งน้ำตาออกมา
" ภาพไหน ท่านเห็นอะไร " จักรพรรดิคาไรเซอร์ถามขึ้นอย่างงุนงง
" พระราชินีมองเห็นอนาคตผ่านลูกแก้วนี้ เพราะพระนางเป็นมนุษย์ลูกแก้วจึงยินยอมเป็นสื่อแห่งอนาคตให้
....นั่นคือเด็กที่ท่านกำลังจะให้กำเนิด ราชินี ท่านมีสามทางเลือก ทางที่หนึ่งไม่ให้เด็กเกิดขึ้นมา เพื่อภาพนั้นจะไม่มีวันเป็นจริง
ทางที่สองให้กำเนิด และปล่อยทุกอย่างไป อย่างน้อยที่สุดท่านก็คงอยู่ไม่ถึงวาระที่ภาพนั้นจะเป็นจริงขึ้นมา ประการสุดท้าย
ให้กำเนิด...และเสี่ยงที่จะเลี้ยงดูให้อนาคตของเขาเปลี่ยนไป ขอเตือนไว้ก่อนว่าหากข้าเป็นท่าน....ข้าจะเลือกทางแรก "
" ท่านก็รู้ว่าไม่มีแม่ที่ไหนฆ่าลูกที่ตนเองเฝ้ารอมาเกือบปีได้ " ราชินีตอบ
น้ำเสียงกลับเป็นเยียบเย็นเช่นเดิม
" ถ้าหากประกาศคำทำนายนี้ออกไป ผู้คนทั้งเรเนอแลนด์จะพากันมาเอาชีวิตท่าน
" เจมิลตอบ คราวนี้น้ำเสียงและท่าทีของเขาสงบ และขึงขังมากขึ้น
" แต่ข้ารู้ว่าท่านจะไม่ทำเช่นนั้น....ท่านมาเพื่อเตือนเราใช่มั้ย ท่านหวาดกลัวกับอนาคตของเรเนอแลนด์
หวั่นใจที่เมื่อสักวันท่านอาจจะต้องเป็นหนึ่งในคนที่....เราไม่ควรพูดต่อ " พระราชินีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันมาทางองค์จักรพรรดิ "
ดูเหมือนเราต่างก็ไม่พอใจเด็กคนนี้ทั้งคู่ ...ท่านจะทำอย่างไร "
" ไม่มีอะไร ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ...ทั้งท่าน เรา และเด็ก "
บรรยากาศเวิ้งว้างไปช่วงหนึ่ง แต่ก็ถูกทำลายเมื่อท่านเจมิลเดินเข้ามาทางใกล้พระราชินี
เขาวางมือไว้ที่พระครรภ์
สวดบทสวดสั้นก่อนที่จะลาจากไป
" น่าเสียดายที่นี่คือการพบกันครั้งสุดท้าย ฝ่าพระบาททั้งสอง "