ตอนที่ ๒ แอลฟีเรีย ออซเทีย และ คู่หมั้น
" เจ้าหญิงเพคะ เสด็จออกมาเถอะ ไม่อย่างนั้นหม่อนฉันจะถูกพระราชินีเอ็ดนะเพคะ
สงสารหม่อมฉันเถอะ "
เสียงนางกำนัลกลุ่มใหญ่ตะโกนโหวกเหวกอยู่ภายในพระราชอุทยานชั้นในของอัลซาบัน
เป็นอยู่เช่นนั้นทุกครั้งเมื่อพระราชธิดาในสมเด็จพระราชินีเสด็จเข้ามาประทับในพระราชวังชั้นใน
" โธ่ หาไม่เจอเลย เจ้าหญิงไปอยู่ที่ไหนกันเนี่ย นี่มัน....ทำไมถึงได้ซนอย่างนี้เล่า
" นางกำนัลคนหนึ่งพูดขึ้น
" คงยังไม่ชินมั้ง " อีกคนตอบ
" ไม่ชินอะไร ก็ทรงต้องทำอย่างนี้มา 6-7 ปีแล้ว "
" ยังไงเด็กก็ยังเป็นเด็กล่ะน่า ต้องปรับตัวเข้าๆออกๆวังชั้นนอกกับชั้นในทุกอาทิตย์
เป็นใครก็เบื่อทั้งนั้น"
" ถ้าอย่างองค์หญิงเรียกว่าเด็ก ข้าก็ไม่เข้าใจคำจำกัดความของมันเลยจริงๆ
"
ขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นไปอย่างเผ็ดร้อน เสียงโหวกเหวกกลับดังขึ้นมาจากทางตอนใต้ของอุทยาน
" กริฟฟิน กริฟฟิน บุกเข้ามา " เสียงตะโกนนั่นทำให้เหล่านางกำนัลหมุนตัวกลับ
พากับวิ่งเข้าในเขตพระราชฐานอย่างไม่คิดชีวิต
แต่แล้วกลับต้องเบาฝีเท้าลงเมื่อสวนทางเข้ากับ...
" มีอะไร."
" ....เพคะองค์ราชินี "
" เราถามพวกเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้น วิ่งแตกตื่นเข้ามาแบบนี้ "
" กริฟฟินเพคะ กริฟฟินทั้งฝูงบินเข้ามาในอุทยานเพคะ " เหล่านางกำนัลตอบน้ำเสียงทั้งเกรงกลัว
กริฟฟิน อีกทั้งก็หวาดหวั่นกับคู่สนทนาของตนไม่น้อย
" เข้าใจแล้ว " พระราชินีเดินนำหน้าออกไปจากเขตพระราชฐาน สิ่งที่พระนางทอดพระเนตรเห็นคือฝูงกริฟฟินราว
10ถึง 11 ตัว
กำลังทำลายอุทยานกันอย่างสนุกสนาน แต่สิ่งที่พระนางมองหาไม่ใช่สัตว์เหล่านี้
" ออกมาแอลฟีเรีย อย่าให้แม่โมโหไปมากกว่านี้นะ " พระนางออกคำสั่ง
นิ่งไปครู่หนึ่งเงาเล็กๆที่นั่งอยู่บนส่วนหัวของกริฟฟินที่ตัวใหญ่ที่สุดก็กระโดดลงมานั่งชันเข่าอยู่เบื้องหน้าพระราชมารดา
" ถวายบังตมพะย่ะค่ะ เสด็จแม่ " เจ้าของเสียงเป็นเพียงเด็กอายุ6-7
ปี เส้นผมสีดำ ตัดสั้น ดวงตาดำสนิท ใบหูแหลมยาว
และเมื่อนางยิ้มออกมาก็สามารถเห็นเขี้ยวแหลมของนางได้อย่างถนัด
" ทักทายใหม่สิ เจ้าหญิงแอลฟีเรีย นี่คือเขตพระราชฐานชั้นใน ไม่ใช่ข้างนอก
" พระราชมารดากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
" เซ็ง ..." เจ้าหญิงน้อยทำปากขมุบขมิบ " ถวายบังคมเพคะ เสด็จแม่
หม่อมฉันแอลฟีเรีย มาเฝ้าพระองค์แล้วเพคะ "
คราวนี้กริยาของเจ้าหญิงดูอ่อนน้อมมากขึ้น
" ดีแล้ว จัดการกับสัตว์ของเจ้าซะ ก่อนที่แม่จะลงมือช่วยเจ้า "
" ก็ได้เพคะ "
เจ้าหญิงน้อยรับคำ จากนั้นก็หยิบนกหวีดอันเล็กๆที่ห้อยคออยู่เป่าเป็นสัญญาณ ไม่ต้องรอนาน
เหล่า
กริฟฟินก็บินจากไป
" ตามแม่เข้าไปข้างใน แอลฟีเรีย "
" เพคะ "
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เจ้าหญิงแอลฟีเรียโปรดปรานความยุ่งยากวุ่นวายเสียยิ่งกว่าใครทั้งหมด
แม้บางคนจะบอกว่ามันเป็นความซนตามประสาเด็ก แต่ก็ ออกจะมาเกินไปสักหน่อยสำหรับ เจ้าหญิงแอลฟีเรีย
พระราชธิดาพระองค์เดียวในพระราชินีแห่งอัลซาบัน
" และข้าก็ถูกท่านแม่สั่งให้นั่งปักผ้าอยู่ 6 ชั่วโมง น่าเบื่อเป็นบ้า "
เจ้าหญิงแอลฟีเรียพูดกับสหายสนิท
เมื่ออยู่กันตามลำพังในช่วงเย็นของวันหนึ่ง
" เจ้าเองก็ทำเกินไปนี่นา เอากริฟฟินทั้งฝูงเข้าไปแบบนั้น " พระสหายซึ่งเป็น
เด็กชายในวัยไล่เลี่ยกันกล่าวตอบ
" ที่น่าเบื่อน่ะคือวิธีทำโทษของท่านแม่ "
" เจ้าเกลียดการปักผ้าเรอะ "
" ใช่ "
" ....." เด็กชายผู้มีเส้นผมเป็นสีทองคำนิ่งเงียบ
" อะไร เจ้าบ้าอะไรขึ้นมา ลอเรียท " แอลฟีเรียเริ่มอารมณ์เสีย เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป
" ก็ข้าไม่เห็นเจ้าชอบอะไรสักอย่าง ฝึกดาบไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็บ่นเบื่อ
รำทวนแค่ ๑๐ นาทีเจ้าก็หนี แม้แต่การใช้เคียวที่เจ้าโปรดปราน
ฝึกได้อย่างนานที่สุดก็แค่ชั่วโมงเดียว "
" ใช่ และข้าก็ขี้เกียจอ่านตำราเวทมนต์ รวมทั้งการเย็บปักถักร้อยทุกชนิดด้วย
" แอลฟีเรียเสริม
" อย่างนี้มันไม่เอาถ่านชัดๆ " ลอเรียทกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
" ก็ดีน่ะสิ ทำไมข้าต้องพยายามเอาการเอางานด้วยเล่า "
เจ้าหญิงกล่าวตอบ ลอเรียทเองก็ดูเหมือนจะขี้เกียจต่อปากต่อคำใดๆอีก จึงได้เฉไฉไปเรื่องอื่นต่อ
" ข่าวเรื่องการหมั้นของเจ้าเป็นไงบ้างล่ะ "
" ข่าวไวดีนี่นา ลอเรียท " รู้สึกว่าการตั้งคำถามของลอเรียทจะไม่เป็นที่สบอารมณ์ของเจ้าหญิงสักเท่าไหร่
" เรื่องที่กษัตริย์ครูเสดส่งฑูตมาเจรจาใครๆเขาก็รู้กันหมด ดูเหมือนพระราชินีจะยินดีมาก
"
" สงสัยว่านั่นคือสาเหตุที่ท่านแม่กระตือรือร้นเปิดคร์สอบรมว่าที่เจ้าสาว
"
" แสดงว่าองค์จักรพรรดิเห็นดีด้วย "
" ถ้าสองคนนั่นเห็นอะไรเหมือนกันก็คงจะดีหรอก ข้าคงไม่ต้องวุ่นวายอยู่แบบนี้
"
น้ำเสียงของเจ้าหญิงเศร้าไปถนัดใจ บางอย่างที่ลอเรียทรู้สึกว่านางไม่พอใจ คับข้อง
และขัดเคือง หากแต่
ไม่มีคำศัพท์ใดๆที่ทั้งเขาและแอลฟีเรียจะใช้อธิบายมันได้ สำหรับตัวลอเรียท
มันยากเกินกว่าที่จะพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เขาและเจ้าหญิงเผชิญอยู่ตรงหน้า
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ที่ที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ แอลฟีเรียเดาว่านั่นคือราชองครักษ์ของพระราชบิดานั่นเอง
" มีธุระอะไร " เจ้าหญิงถามเสียงเรียบ
" กราบทูลเจ้าชายออซเทีย องค์จักรพรรดิรับสั่งหาพะย่ะค่ะ " ราชองครักษ์วัยฉกรรจ์กราบทูลเจ้าชายรัชทายาทในองค์จักรพรรดิ
" งั้นเจ้ารีบไปเถอะ " ลอเรียทหันไปพูดกับออซเทีย
" พระองค์รับสั่งหาท่านลอเรียทด้วยพะย่ะค่ะ " คำพูดของชายผู้นำสารทำให้ออซเทียกับลอเรียทวิตกเล็กน้อย
พวกเขาไปทำอะไรให้องค์จักรพรรดิกริ้วรึเปล่านะ คราวนี้ถึงกับเรียกพบทั้งสองคนเชียวรึ
" นำทางข้ากับองค์ชายไปสิ ท่านราชองครักษ์ " เมื่อกล่าวกับผู้มียศต่ำกว่าน้ำเสียงของลอเรียทก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นทันที
เช่นเดียวกับออซเทียที่ทิ้งบุคลิกแบบเด็กเล็กไปชั่วคราว
ตอนนี้เจ้าชายรัชทายาทกับพระสหายกำลังถวายบังคมองค์จักรพรรดิแห่งอัลซาบันอยู่
โดยที่รอบๆท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าเสนาอำมาตย์ คณะฑูตจากเมืองใต้อาณัติ และ ราชฑูตจากครูเสด
ท่านฑูตผู้มาถวายสารขอเชื่อมสัมพันธไมตรีโดยการจัดพิธีอภิเษกระหว่างเจ้าชายแห่งครูเสดวัย
17 พรรษากับเจ้าหญิงวัย 7
พรรษาแห่งอัลซาบัน
" ถวายบังคมพะย่ะค่ะ ฝ่าพระบาท " เจ้าชายและพระสหายกราบทูลพร้อมกัน
" ทักทายทุกท่านในที่นี้ด้วย ออซเทีย ลอเรียท "
" พะย่ะค่ะ " เด็กน้อยทั้งสองรับคำและกลับหลังหัน
จากการอยู่เบื้องพระพักตร์มาประจันหน้ากับเหล่าผู้สูงศักดิ์ทั้งของอัลซาบันและต่างแดน
" ข้า เจ้าชายออซเทีย ผู้เป็นข้าพระบาทในพระจักรพรรดิคาไรเซอร์ ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่านขอรับ
หวังว่าทุกท่านจะพอใจในการต้อนรับของอัลซาบัน " เจ้าชายน้อยแนะนำตัวและเอ่ยปากทักทายอย่างมีมารยาทตามธรรมเนียมเจ้าบ้าน
เป็นวิธีการทักทายที่เหล่าเสนาอำมาตย์ของอัลซาบันต่างก็พร่ำสอนมาแรมเดือนแรมปีให้กับราชบุตร
มันก็คงอย่างเดียวกับที่เหล่าคุณหญิงและนางกำนัลของเสด็จแม่พยายามสอนให้กับเจ้าหญิงแอลฟีเรียนั่นล่ะ
" ข้าลอเรียท บุตรชายคนโตของท่านขุนพลเทเทียสแห่งกองทหารบกขอรับ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับทุกท่านสู่มหานครอัลซาบัน
"
ลอเรียทเองก็เช่นกัน การทักทายของเขาไม่ทำให้ท่านขุนพลที่ยืนอยู่เป็นลำดับที่ ๓ ของแถวนายทหารขัดเคืองแม้แต่น้อย
และเมื่อกวาดสายตามองไปทั่วท้องพระโรง เขาก็ต้องถอนใจอยู่ในใจเฮือกยาวว่าตนไม่ได้ทำอะไรที่เสื่อมเสียลงไป
เพราะเกือบจะไม่มีครั้งใดที่การทักทายของเขาจะไม่ถูกบิดา มารดา ตลอดจนเหล่าเครือญาติตำหนิ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำได้ดี
หรือสถานการณ์มันบังคับไม่ให้มีใครตำหนิเขาได้กันแน่
เด็กน้อยทั้งสองหันกลับไปทำความเคารพองค์จักรพรรดิอีกครั้ง แต่ก่อนที่พวกเขาจะหลบไปทางด้านขวาเพื่อเข้าแถวกับเหล่าเสนาบดี
กลับถูกเรียกตัวไว้เสียก่อน
" ไม่ต้อง เรามีธุระกับพวกเจ้าเล็กน้อยเท่านั้น "
" พะย่ะค่ะ "
" อย่างที่ทุกท่านในที่นี้ทราบกันดีว่าทางครูเสดมีความปรารถนาดีที่จะสร้างมิตรภาพกับอัลซาบัน
เราคิดว่าคงจะเป็นพิธีอภิเษกที่ยิ่งใหญ่มาก แต่น่าเสียดายที่เจ้าหญิงแอลฟีเรียได้กำหนดคู่หมั้นหมายของตนเองไว้เรียบร้อยแล้ว "
ไม่เพียงแต่เหล่าราชฑูต เสนาบดี แม้แต่เจ้าชาย ไม่สิ เจ้าหญิงแอลฟีเรีย กับลอเรียทก็ยังตกใจในเรื่องนี้
" ทางเราไม่ทราบมาก่อน เจ้าหญิงพึ่งจะมีพระชนมายุ 7 พรรษาเท่านั้น "
ราชฑูตจากครูเสดกราบบังคมทูล
" ไม่แปลกหรอก เราเองก็เพิ่งทราบเมื่อเช้านี้เอง ใช่มั้ย เจ้าหญิงแอลฟีเรีย
" พระราชบิดาจ้องมาทางพระราชบุตรี
เป็นสายตาที่ไม่ว่าผู้ใดที่ถูกต้องก็ไม่มีทางรู้สึกชอบได้เลย
" เพคะ " ออซเทียเปลี่ยนคำพูดของตนกลับเป็นเด็กหญิงอีกครั้ง ราวกับเข้าใจสถานะการณ์ว่าขณะนี้ไม่มีใครต้องการออซเทีย
" บอกให้ทุกท่านที่นี่ทราบสิว่า คู่ตุนาหงันที่เจ้าเลือกคือผู้ใด "
พระจักรพรรดิรับสั่ง
เจ้าหญิงน้อยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับผู้เข้าร่วมประชุมการเมืองทั้งหลาย
นางรู้ว่า
คำตอบของนางถูกตระเตรียมไว้แล้ว ความจริงก็ควรจะรู้สึกได้ตั้งแต่มีรับสั่งให้ลอเรียทเข้าเฝ้าด้วย
และยังให้แนะนำตัวกับเหล่าเสนาบดีและคณะฑูตอีก ทุกอย่างถูกกะเกณฑ์ไว้แล้ว
" ตั้งแต่ข้าก้าวเข้ามายังท้องพระโรงนี้พร้อมกับลอเรียทของข้า ทุกท่านก็น่าจะทราบคำตอบดีอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องกล่าวสำทับในเรื่องที่พวกท่านต่างก็ทราบดีอยู่ "
ดูเหมือนทุกคนจะหมดความข้องใจ ยกเว้นก็แต่ตัวแทนจากครูเสดเท่านั้น
" องค์หญิงน้อยปฏิเสธ เจ้าชายของพวกข้า เพื่อบุตรชายคนโตของท่านขุนพลเท่านั้นรึ
พะย่ะค่ะ "
แอลฟีเรียรู้ว่าเขาไม่พอใจนางอย่างมาก การปฏิเสธการหมั้น ก็เหมือนกับการหักหน้านั่นล่ะ
" ข้าไม่ได้ปฏิเสธ เพราะข้ายังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเจ้าชายครูเสดปรารถนาในตัวข้า
เมื่อย่ำรุ่งข้าเพียงทูลองค์จักรพรรดิถึงความในใจของข้าเท่านั้น
และในเมื่อข้าเป็นข้ารองพระบาทในสมเด็จพระจักรพรรดิการที่พระองค์ทรงอนุญาตให้ข้าสมปรารถนาโดยไม่บังคับ ฝืนใจข้า
ก็ถือเป็นพระราชกรุณาอย่างยิ่งยวดแล้ว " น้ำเสียงขององค์หญิงกังวาลใส พระสุรเสียงนั้นดังฟังชัด หนักแน่น
ไม่ต่างไปจากพระราชบิดาเลยแม้แต่น้อย ดวงเนตรขององค์หญิงน้อยนิ่งและสงบ ราวกับว่านางอยู่เหนือทุกคนในที่นั้น
ไม่มีวี่แววของเด็กหญิงอายุ 7 ปี อยู่เลย องค์จักรพรรดิเองก็มีท่าทีพึงพอใจในกริยานี้เช่นกัน หากแต่
นางยังคงบริสุทธิ์และอ่อนโยนเกินไป นี่คงจะสุดกำลังแล้วสำหรับเด็กหญิงอายุแค่นี้
" ทุกท่านคงเข้าใจดีแล้ว สำหรับเรา ไม่สิสำหรับพ่อแม่ทุกคน การที่เป็นบุตรของตนเป็นสุขเป็นสิ่งที่พิเศษ
อีกประการหนึ่งเราไม่เห็นว่าลอเรียทมีข้อบกพร่องแต่ประการใด
บุตรชายคนโตของท่านขุนพลเทเทียสผู้กรำศึกอย่างโชกโชนมาพร้อมกับเราผู้นี้
มีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะเป็นราชบุตรเขยของจักรพรรดิแห่งอัลซาบัน หวังว่าทุกท่านจะสิ้นข้อสงสัย "
แอลฟีเรียและลอเรียท ออกจากที่ประชุมก่อนตามรับสั่งของพระจักรพรรดิ
ทั้งสองเดินกลับไปยังอุทยานที่เดิมที่ตนนั่งอยู่เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา อุทยานยังเหมือนเดิม ต้นไม้ทุกต้นยังเหมือนเดิม ดอกไม้
หรือสิ่งมีชีวิตอื่นไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เด็กสองคนที่นั่งลงใต้ร่มไม้ของต้น ยูเรเฟีย กลับต่างไปจากเมื่อครู่
บางสิ่งบางอย่างระหว่างพวกเขาถูกทำลาย แม้จะรู้สึกเช่นนั้น แต่....ไม่มีแม้แต่คำศัพท์ที่ใช้อธิบายมันได้
" เจ้ารู้ได้ยังไงว่าองค์จักรพรรดิต้องการเช่นนั้น "
" เพราะเขาเรียกเจ้ากับข้าไปพร้อมกัน ที่สำคัญ ยังมีคนอื่นอีกรึที่เขาเห็นอยู่ในสายตา
" แอลฟีเรียพูดท่าทางเฉยเมย
" ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมน่า "
" คอยดูสิ คืนนี้ท่านแม่ต้องเรียกข้าไปพบแน่ เพื่ออะไรรู้มั้ย..เพื่อสอนการปักหมอนที่จะใช้ในคืนวันแต่งงานอย่างไรเล่า
"
" นั่นเป็นเรื่องอีกนมนาน " ลอเรียทพยายามปลอบ
" อย่าพูดอะไรที่ไม่ตรงกับใจ ลอเรียท " แอลฟีเรียพูดไว้แค่นั้นแล้วก็เดินหนีไป
ลอเรียทยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โลกเริ่มหมุนกลับด้านเช่นนี้
" ท่านแม่สอนข้าเย็บเสื้อ ปักหมอน และเริ่มสอนทำอาหาร " เจ้าชายออซเทียทูลเสด็จพ่อเมื่ออยู่กันตามลำพังในห้องทรงอักษร
" เจ้าชอบมั้ยเล่า "
" ไม่มีความเห็นพะย่ะค่ะ มันเหมือนกับการฝึกดาบและใช้เวทมนต์นั่นล่ะ ...ข้าเลือกไม่ได้ไม่ใช่รึ
"
เจ้าชาย พูดอย่างไม่ยี่หระและท่าทางไม่สนใจในคำตอบที่จะได้รับด้วยซ้ำ พระราชบิดาจ้องมองเจ้าชายอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตรัสขึ้น
" เจ้าควรจะต้องทำทุกอย่างให้ได้ดีออซเทีย ไม่ว่าจะในฐานะเจ้าชายหรือเจ้าหญิง
"
" ข้าไม่เข้าใจ ร่างกายข้าเป็นหญิงไม่ใช่รึเสด็จพ่อ ทำไมข้าต้องทำอย่างที่ผู้ชายทำ
และหากว่าท่านต้องการบุตร
ทำไมจึงต้องเลี้ยงให้ข้าเป็นหญิง ข้าไม่เข้าใจ "
" ความไม่เข้าใจคือสาเหตุให้เจ้าไม่ทำอะไรงั้นสิ "
" ไม่มีใครทำอะไรโดยไร้จุดหมาย ข้าเชื่อเช่นนั้น " เจ้าชายน้อยยืนนิ่ง
ดวงตาจดจ้องที่พระราชบิดา ใจสั่นไหว
อาจจะเพราะเกรงพระราชอำนาจหรือวิตกกังวลในคำตอบก็ไม่ทราบ
" ไม่มีเหตุผล ที่เจ้าต้องทำก็เพราะเราและพระราชินีต้องการให้ทำเช่นนั้น เจ้าพึ่งจะบอกเมื่อเย็นว่าเจ้าเป็นข้ารับใช้ของเรา
"
อะไรบางอย่างบีบหัวใจของเจ้าชายออซเทียให้เต้นเร็วขึ้น ราวกับจะหลุดออกมาจากทรวงอก
อ้อ..นั่นไม่ใช่แค่คำทักทาย
แต่เป็นคำปฏิญาณ สินะ ออซเทียคิด
" เราเริ่มเรียนกันต่อได้แล้ว " พระราชบิดาเดินไปหยิบหนังสือ2-3 เล่มออกจากชั้น
แต่ก่อนที่จะตรัสอะไรต่อไป เจ้าชายก็พูดสวนขึ้น
" เรื่องการหมั้นหมายความว่ายังไง "
" ถ้าเราต้องการให้เจ้าแต่งงานออกไปจากอัลซาบัน เราฆ่าเจ้าเสียตั้งแต่เกิดแล้ว
ความลับของประเทศจะถูกแพร่งพรายได้ยังไง
ลองใช้สมองอันน้อยนิดของเจ้าคิดดูก็แล้วกัน " พระสุรเสียงเรียบเฉย
เช่นเดียวกับสายพระเนตรที่ไม่สนใจกับดวงตาที่ตื่นตระหนกของพระราชบุตร
" เหมือนกับนักโทษ "
" เจ้าจะเป็นกษัตริย์ของอัลซาบันต่างหาก "
" คนที่จะได้เป็นคงเป็นลอเรียทแล้วล่ะ " เจ้าหญิงแสยะยิ้ม
" เจ้าหนูนั่น มีอะไรมาแข่งกับเจ้า เจ้าชายออซเทียแห่งอัลซาบัน "
นั่นเป็นเรื่องราวหลายปีก่อนหน้าที่ทุกอย่างจะแตกหักลง