Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!

ตอนที่ ๒ แอลฟีเรีย ออซเทีย และ คู่หมั้น


" เจ้าหญิงเพคะ เสด็จออกมาเถอะ ไม่อย่างนั้นหม่อนฉันจะถูกพระราชินีเอ็ดนะเพคะ สงสารหม่อมฉันเถอะ "

เสียงนางกำนัลกลุ่มใหญ่ตะโกนโหวกเหวกอยู่ภายในพระราชอุทยานชั้นในของอัลซาบัน

เป็นอยู่เช่นนั้นทุกครั้งเมื่อพระราชธิดาในสมเด็จพระราชินีเสด็จเข้ามาประทับในพระราชวังชั้นใน


" โธ่ หาไม่เจอเลย เจ้าหญิงไปอยู่ที่ไหนกันเนี่ย นี่มัน....ทำไมถึงได้ซนอย่างนี้เล่า " นางกำนัลคนหนึ่งพูดขึ้น


" คงยังไม่ชินมั้ง " อีกคนตอบ


" ไม่ชินอะไร ก็ทรงต้องทำอย่างนี้มา 6-7 ปีแล้ว "


" ยังไงเด็กก็ยังเป็นเด็กล่ะน่า ต้องปรับตัวเข้าๆออกๆวังชั้นนอกกับชั้นในทุกอาทิตย์ เป็นใครก็เบื่อทั้งนั้น"


" ถ้าอย่างองค์หญิงเรียกว่าเด็ก ข้าก็ไม่เข้าใจคำจำกัดความของมันเลยจริงๆ "


ขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นไปอย่างเผ็ดร้อน เสียงโหวกเหวกกลับดังขึ้นมาจากทางตอนใต้ของอุทยาน


" กริฟฟิน กริฟฟิน บุกเข้ามา " เสียงตะโกนนั่นทำให้เหล่านางกำนัลหมุนตัวกลับ พากับวิ่งเข้าในเขตพระราชฐานอย่างไม่คิดชีวิต

แต่แล้วกลับต้องเบาฝีเท้าลงเมื่อสวนทางเข้ากับ...


" มีอะไร."


" ....เพคะองค์ราชินี "


" เราถามพวกเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้น วิ่งแตกตื่นเข้ามาแบบนี้ "


" กริฟฟินเพคะ กริฟฟินทั้งฝูงบินเข้ามาในอุทยานเพคะ " เหล่านางกำนัลตอบน้ำเสียงทั้งเกรงกลัว


กริฟฟิน อีกทั้งก็หวาดหวั่นกับคู่สนทนาของตนไม่น้อย


" เข้าใจแล้ว " พระราชินีเดินนำหน้าออกไปจากเขตพระราชฐาน สิ่งที่พระนางทอดพระเนตรเห็นคือฝูงกริฟฟินราว 10ถึง 11 ตัว

กำลังทำลายอุทยานกันอย่างสนุกสนาน แต่สิ่งที่พระนางมองหาไม่ใช่สัตว์เหล่านี้


" ออกมาแอลฟีเรีย อย่าให้แม่โมโหไปมากกว่านี้นะ " พระนางออกคำสั่ง

นิ่งไปครู่หนึ่งเงาเล็กๆที่นั่งอยู่บนส่วนหัวของกริฟฟินที่ตัวใหญ่ที่สุดก็กระโดดลงมานั่งชันเข่าอยู่เบื้องหน้าพระราชมารดา


" ถวายบังตมพะย่ะค่ะ เสด็จแม่ " เจ้าของเสียงเป็นเพียงเด็กอายุ6-7 ปี เส้นผมสีดำ ตัดสั้น ดวงตาดำสนิท ใบหูแหลมยาว

และเมื่อนางยิ้มออกมาก็สามารถเห็นเขี้ยวแหลมของนางได้อย่างถนัด


" ทักทายใหม่สิ เจ้าหญิงแอลฟีเรีย นี่คือเขตพระราชฐานชั้นใน ไม่ใช่ข้างนอก " พระราชมารดากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด


" เซ็ง ..." เจ้าหญิงน้อยทำปากขมุบขมิบ " ถวายบังคมเพคะ เสด็จแม่ หม่อมฉันแอลฟีเรีย มาเฝ้าพระองค์แล้วเพคะ "

คราวนี้กริยาของเจ้าหญิงดูอ่อนน้อมมากขึ้น


" ดีแล้ว จัดการกับสัตว์ของเจ้าซะ ก่อนที่แม่จะลงมือช่วยเจ้า "


" ก็ได้เพคะ "


เจ้าหญิงน้อยรับคำ จากนั้นก็หยิบนกหวีดอันเล็กๆที่ห้อยคออยู่เป่าเป็นสัญญาณ ไม่ต้องรอนาน เหล่า


กริฟฟินก็บินจากไป


" ตามแม่เข้าไปข้างใน แอลฟีเรีย "


" เพคะ "


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เจ้าหญิงแอลฟีเรียโปรดปรานความยุ่งยากวุ่นวายเสียยิ่งกว่าใครทั้งหมด

แม้บางคนจะบอกว่ามันเป็นความซนตามประสาเด็ก แต่ก็ ออกจะมาเกินไปสักหน่อยสำหรับ เจ้าหญิงแอลฟีเรีย

พระราชธิดาพระองค์เดียวในพระราชินีแห่งอัลซาบัน


" และข้าก็ถูกท่านแม่สั่งให้นั่งปักผ้าอยู่ 6 ชั่วโมง น่าเบื่อเป็นบ้า " เจ้าหญิงแอลฟีเรียพูดกับสหายสนิท

เมื่ออยู่กันตามลำพังในช่วงเย็นของวันหนึ่ง


" เจ้าเองก็ทำเกินไปนี่นา เอากริฟฟินทั้งฝูงเข้าไปแบบนั้น " พระสหายซึ่งเป็น เด็กชายในวัยไล่เลี่ยกันกล่าวตอบ


" ที่น่าเบื่อน่ะคือวิธีทำโทษของท่านแม่ "


" เจ้าเกลียดการปักผ้าเรอะ "


" ใช่ "
" ....." เด็กชายผู้มีเส้นผมเป็นสีทองคำนิ่งเงียบ


" อะไร เจ้าบ้าอะไรขึ้นมา ลอเรียท " แอลฟีเรียเริ่มอารมณ์เสีย เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป


" ก็ข้าไม่เห็นเจ้าชอบอะไรสักอย่าง ฝึกดาบไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็บ่นเบื่อ รำทวนแค่ ๑๐ นาทีเจ้าก็หนี แม้แต่การใช้เคียวที่เจ้าโปรดปราน

ฝึกได้อย่างนานที่สุดก็แค่ชั่วโมงเดียว "


" ใช่ และข้าก็ขี้เกียจอ่านตำราเวทมนต์ รวมทั้งการเย็บปักถักร้อยทุกชนิดด้วย " แอลฟีเรียเสริม


" อย่างนี้มันไม่เอาถ่านชัดๆ " ลอเรียทกล่าวอย่างตรงไปตรงมา


" ก็ดีน่ะสิ ทำไมข้าต้องพยายามเอาการเอางานด้วยเล่า "


เจ้าหญิงกล่าวตอบ ลอเรียทเองก็ดูเหมือนจะขี้เกียจต่อปากต่อคำใดๆอีก จึงได้เฉไฉไปเรื่องอื่นต่อ


" ข่าวเรื่องการหมั้นของเจ้าเป็นไงบ้างล่ะ "


" ข่าวไวดีนี่นา ลอเรียท " รู้สึกว่าการตั้งคำถามของลอเรียทจะไม่เป็นที่สบอารมณ์ของเจ้าหญิงสักเท่าไหร่


" เรื่องที่กษัตริย์ครูเสดส่งฑูตมาเจรจาใครๆเขาก็รู้กันหมด ดูเหมือนพระราชินีจะยินดีมาก "


" สงสัยว่านั่นคือสาเหตุที่ท่านแม่กระตือรือร้นเปิดคร์สอบรมว่าที่เจ้าสาว "


" แสดงว่าองค์จักรพรรดิเห็นดีด้วย "


" ถ้าสองคนนั่นเห็นอะไรเหมือนกันก็คงจะดีหรอก ข้าคงไม่ต้องวุ่นวายอยู่แบบนี้ "


น้ำเสียงของเจ้าหญิงเศร้าไปถนัดใจ บางอย่างที่ลอเรียทรู้สึกว่านางไม่พอใจ คับข้อง และขัดเคือง หากแต่

ไม่มีคำศัพท์ใดๆที่ทั้งเขาและแอลฟีเรียจะใช้อธิบายมันได้ สำหรับตัวลอเรียท

มันยากเกินกว่าที่จะพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เขาและเจ้าหญิงเผชิญอยู่ตรงหน้า


เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ที่ที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ แอลฟีเรียเดาว่านั่นคือราชองครักษ์ของพระราชบิดานั่นเอง


" มีธุระอะไร " เจ้าหญิงถามเสียงเรียบ


" กราบทูลเจ้าชายออซเทีย องค์จักรพรรดิรับสั่งหาพะย่ะค่ะ " ราชองครักษ์วัยฉกรรจ์กราบทูลเจ้าชายรัชทายาทในองค์จักรพรรดิ


" งั้นเจ้ารีบไปเถอะ " ลอเรียทหันไปพูดกับออซเทีย


" พระองค์รับสั่งหาท่านลอเรียทด้วยพะย่ะค่ะ " คำพูดของชายผู้นำสารทำให้ออซเทียกับลอเรียทวิตกเล็กน้อย

พวกเขาไปทำอะไรให้องค์จักรพรรดิกริ้วรึเปล่านะ คราวนี้ถึงกับเรียกพบทั้งสองคนเชียวรึ


" นำทางข้ากับองค์ชายไปสิ ท่านราชองครักษ์ " เมื่อกล่าวกับผู้มียศต่ำกว่าน้ำเสียงของลอเรียทก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นทันที

เช่นเดียวกับออซเทียที่ทิ้งบุคลิกแบบเด็กเล็กไปชั่วคราว

ตอนนี้เจ้าชายรัชทายาทกับพระสหายกำลังถวายบังคมองค์จักรพรรดิแห่งอัลซาบันอยู่

โดยที่รอบๆท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าเสนาอำมาตย์ คณะฑูตจากเมืองใต้อาณัติ และ ราชฑูตจากครูเสด


ท่านฑูตผู้มาถวายสารขอเชื่อมสัมพันธไมตรีโดยการจัดพิธีอภิเษกระหว่างเจ้าชายแห่งครูเสดวัย 17 พรรษากับเจ้าหญิงวัย 7

พรรษาแห่งอัลซาบัน


" ถวายบังคมพะย่ะค่ะ ฝ่าพระบาท " เจ้าชายและพระสหายกราบทูลพร้อมกัน


" ทักทายทุกท่านในที่นี้ด้วย ออซเทีย ลอเรียท "


" พะย่ะค่ะ " เด็กน้อยทั้งสองรับคำและกลับหลังหัน

จากการอยู่เบื้องพระพักตร์มาประจันหน้ากับเหล่าผู้สูงศักดิ์ทั้งของอัลซาบันและต่างแดน


" ข้า เจ้าชายออซเทีย ผู้เป็นข้าพระบาทในพระจักรพรรดิคาไรเซอร์ ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่านขอรับ

หวังว่าทุกท่านจะพอใจในการต้อนรับของอัลซาบัน " เจ้าชายน้อยแนะนำตัวและเอ่ยปากทักทายอย่างมีมารยาทตามธรรมเนียมเจ้าบ้าน

เป็นวิธีการทักทายที่เหล่าเสนาอำมาตย์ของอัลซาบันต่างก็พร่ำสอนมาแรมเดือนแรมปีให้กับราชบุตร

มันก็คงอย่างเดียวกับที่เหล่าคุณหญิงและนางกำนัลของเสด็จแม่พยายามสอนให้กับเจ้าหญิงแอลฟีเรียนั่นล่ะ


" ข้าลอเรียท บุตรชายคนโตของท่านขุนพลเทเทียสแห่งกองทหารบกขอรับ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับทุกท่านสู่มหานครอัลซาบัน "

ลอเรียทเองก็เช่นกัน การทักทายของเขาไม่ทำให้ท่านขุนพลที่ยืนอยู่เป็นลำดับที่ ๓ ของแถวนายทหารขัดเคืองแม้แต่น้อย

และเมื่อกวาดสายตามองไปทั่วท้องพระโรง เขาก็ต้องถอนใจอยู่ในใจเฮือกยาวว่าตนไม่ได้ทำอะไรที่เสื่อมเสียลงไป

เพราะเกือบจะไม่มีครั้งใดที่การทักทายของเขาจะไม่ถูกบิดา มารดา ตลอดจนเหล่าเครือญาติตำหนิ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำได้ดี

หรือสถานการณ์มันบังคับไม่ให้มีใครตำหนิเขาได้กันแน่


เด็กน้อยทั้งสองหันกลับไปทำความเคารพองค์จักรพรรดิอีกครั้ง แต่ก่อนที่พวกเขาจะหลบไปทางด้านขวาเพื่อเข้าแถวกับเหล่าเสนาบดี

กลับถูกเรียกตัวไว้เสียก่อน


" ไม่ต้อง เรามีธุระกับพวกเจ้าเล็กน้อยเท่านั้น "


" พะย่ะค่ะ "


" อย่างที่ทุกท่านในที่นี้ทราบกันดีว่าทางครูเสดมีความปรารถนาดีที่จะสร้างมิตรภาพกับอัลซาบัน

เราคิดว่าคงจะเป็นพิธีอภิเษกที่ยิ่งใหญ่มาก แต่น่าเสียดายที่เจ้าหญิงแอลฟีเรียได้กำหนดคู่หมั้นหมายของตนเองไว้เรียบร้อยแล้ว "

ไม่เพียงแต่เหล่าราชฑูต เสนาบดี แม้แต่เจ้าชาย ไม่สิ เจ้าหญิงแอลฟีเรีย กับลอเรียทก็ยังตกใจในเรื่องนี้


" ทางเราไม่ทราบมาก่อน เจ้าหญิงพึ่งจะมีพระชนมายุ 7 พรรษาเท่านั้น " ราชฑูตจากครูเสดกราบบังคมทูล


" ไม่แปลกหรอก เราเองก็เพิ่งทราบเมื่อเช้านี้เอง ใช่มั้ย เจ้าหญิงแอลฟีเรีย " พระราชบิดาจ้องมาทางพระราชบุตรี

เป็นสายตาที่ไม่ว่าผู้ใดที่ถูกต้องก็ไม่มีทางรู้สึกชอบได้เลย


" เพคะ " ออซเทียเปลี่ยนคำพูดของตนกลับเป็นเด็กหญิงอีกครั้ง ราวกับเข้าใจสถานะการณ์ว่าขณะนี้ไม่มีใครต้องการออซเทีย


" บอกให้ทุกท่านที่นี่ทราบสิว่า คู่ตุนาหงันที่เจ้าเลือกคือผู้ใด " พระจักรพรรดิรับสั่ง


เจ้าหญิงน้อยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับผู้เข้าร่วมประชุมการเมืองทั้งหลาย นางรู้ว่า


คำตอบของนางถูกตระเตรียมไว้แล้ว ความจริงก็ควรจะรู้สึกได้ตั้งแต่มีรับสั่งให้ลอเรียทเข้าเฝ้าด้วย

และยังให้แนะนำตัวกับเหล่าเสนาบดีและคณะฑูตอีก ทุกอย่างถูกกะเกณฑ์ไว้แล้ว


" ตั้งแต่ข้าก้าวเข้ามายังท้องพระโรงนี้พร้อมกับลอเรียทของข้า ทุกท่านก็น่าจะทราบคำตอบดีอยู่แล้ว

ไม่จำเป็นต้องกล่าวสำทับในเรื่องที่พวกท่านต่างก็ทราบดีอยู่ "


ดูเหมือนทุกคนจะหมดความข้องใจ ยกเว้นก็แต่ตัวแทนจากครูเสดเท่านั้น


" องค์หญิงน้อยปฏิเสธ เจ้าชายของพวกข้า เพื่อบุตรชายคนโตของท่านขุนพลเท่านั้นรึ พะย่ะค่ะ "


แอลฟีเรียรู้ว่าเขาไม่พอใจนางอย่างมาก การปฏิเสธการหมั้น ก็เหมือนกับการหักหน้านั่นล่ะ


" ข้าไม่ได้ปฏิเสธ เพราะข้ายังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเจ้าชายครูเสดปรารถนาในตัวข้า

เมื่อย่ำรุ่งข้าเพียงทูลองค์จักรพรรดิถึงความในใจของข้าเท่านั้น

และในเมื่อข้าเป็นข้ารองพระบาทในสมเด็จพระจักรพรรดิการที่พระองค์ทรงอนุญาตให้ข้าสมปรารถนาโดยไม่บังคับ ฝืนใจข้า

ก็ถือเป็นพระราชกรุณาอย่างยิ่งยวดแล้ว " น้ำเสียงขององค์หญิงกังวาลใส พระสุรเสียงนั้นดังฟังชัด หนักแน่น

ไม่ต่างไปจากพระราชบิดาเลยแม้แต่น้อย ดวงเนตรขององค์หญิงน้อยนิ่งและสงบ ราวกับว่านางอยู่เหนือทุกคนในที่นั้น

ไม่มีวี่แววของเด็กหญิงอายุ 7 ปี อยู่เลย องค์จักรพรรดิเองก็มีท่าทีพึงพอใจในกริยานี้เช่นกัน หากแต่

นางยังคงบริสุทธิ์และอ่อนโยนเกินไป นี่คงจะสุดกำลังแล้วสำหรับเด็กหญิงอายุแค่นี้


" ทุกท่านคงเข้าใจดีแล้ว สำหรับเรา ไม่สิสำหรับพ่อแม่ทุกคน การที่เป็นบุตรของตนเป็นสุขเป็นสิ่งที่พิเศษ

อีกประการหนึ่งเราไม่เห็นว่าลอเรียทมีข้อบกพร่องแต่ประการใด

บุตรชายคนโตของท่านขุนพลเทเทียสผู้กรำศึกอย่างโชกโชนมาพร้อมกับเราผู้นี้

มีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะเป็นราชบุตรเขยของจักรพรรดิแห่งอัลซาบัน หวังว่าทุกท่านจะสิ้นข้อสงสัย "


แอลฟีเรียและลอเรียท ออกจากที่ประชุมก่อนตามรับสั่งของพระจักรพรรดิ

ทั้งสองเดินกลับไปยังอุทยานที่เดิมที่ตนนั่งอยู่เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา อุทยานยังเหมือนเดิม ต้นไม้ทุกต้นยังเหมือนเดิม ดอกไม้

หรือสิ่งมีชีวิตอื่นไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เด็กสองคนที่นั่งลงใต้ร่มไม้ของต้น ยูเรเฟีย กลับต่างไปจากเมื่อครู่

บางสิ่งบางอย่างระหว่างพวกเขาถูกทำลาย แม้จะรู้สึกเช่นนั้น แต่....ไม่มีแม้แต่คำศัพท์ที่ใช้อธิบายมันได้


" เจ้ารู้ได้ยังไงว่าองค์จักรพรรดิต้องการเช่นนั้น "


" เพราะเขาเรียกเจ้ากับข้าไปพร้อมกัน ที่สำคัญ ยังมีคนอื่นอีกรึที่เขาเห็นอยู่ในสายตา " แอลฟีเรียพูดท่าทางเฉยเมย


" ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมน่า "


" คอยดูสิ คืนนี้ท่านแม่ต้องเรียกข้าไปพบแน่ เพื่ออะไรรู้มั้ย..เพื่อสอนการปักหมอนที่จะใช้ในคืนวันแต่งงานอย่างไรเล่า "


" นั่นเป็นเรื่องอีกนมนาน " ลอเรียทพยายามปลอบ


" อย่าพูดอะไรที่ไม่ตรงกับใจ ลอเรียท " แอลฟีเรียพูดไว้แค่นั้นแล้วก็เดินหนีไป ลอเรียทยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โลกเริ่มหมุนกลับด้านเช่นนี้

 

" ท่านแม่สอนข้าเย็บเสื้อ ปักหมอน และเริ่มสอนทำอาหาร " เจ้าชายออซเทียทูลเสด็จพ่อเมื่ออยู่กันตามลำพังในห้องทรงอักษร


" เจ้าชอบมั้ยเล่า "


" ไม่มีความเห็นพะย่ะค่ะ มันเหมือนกับการฝึกดาบและใช้เวทมนต์นั่นล่ะ ...ข้าเลือกไม่ได้ไม่ใช่รึ "


เจ้าชาย พูดอย่างไม่ยี่หระและท่าทางไม่สนใจในคำตอบที่จะได้รับด้วยซ้ำ พระราชบิดาจ้องมองเจ้าชายอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตรัสขึ้น


" เจ้าควรจะต้องทำทุกอย่างให้ได้ดีออซเทีย ไม่ว่าจะในฐานะเจ้าชายหรือเจ้าหญิง "


" ข้าไม่เข้าใจ ร่างกายข้าเป็นหญิงไม่ใช่รึเสด็จพ่อ ทำไมข้าต้องทำอย่างที่ผู้ชายทำ และหากว่าท่านต้องการบุตร

ทำไมจึงต้องเลี้ยงให้ข้าเป็นหญิง ข้าไม่เข้าใจ "


" ความไม่เข้าใจคือสาเหตุให้เจ้าไม่ทำอะไรงั้นสิ "


" ไม่มีใครทำอะไรโดยไร้จุดหมาย ข้าเชื่อเช่นนั้น " เจ้าชายน้อยยืนนิ่ง ดวงตาจดจ้องที่พระราชบิดา ใจสั่นไหว

อาจจะเพราะเกรงพระราชอำนาจหรือวิตกกังวลในคำตอบก็ไม่ทราบ


" ไม่มีเหตุผล ที่เจ้าต้องทำก็เพราะเราและพระราชินีต้องการให้ทำเช่นนั้น เจ้าพึ่งจะบอกเมื่อเย็นว่าเจ้าเป็นข้ารับใช้ของเรา "


อะไรบางอย่างบีบหัวใจของเจ้าชายออซเทียให้เต้นเร็วขึ้น ราวกับจะหลุดออกมาจากทรวงอก อ้อ..นั่นไม่ใช่แค่คำทักทาย

แต่เป็นคำปฏิญาณ สินะ ออซเทียคิด


" เราเริ่มเรียนกันต่อได้แล้ว " พระราชบิดาเดินไปหยิบหนังสือ2-3 เล่มออกจากชั้น แต่ก่อนที่จะตรัสอะไรต่อไป เจ้าชายก็พูดสวนขึ้น


" เรื่องการหมั้นหมายความว่ายังไง "


" ถ้าเราต้องการให้เจ้าแต่งงานออกไปจากอัลซาบัน เราฆ่าเจ้าเสียตั้งแต่เกิดแล้ว ความลับของประเทศจะถูกแพร่งพรายได้ยังไง

ลองใช้สมองอันน้อยนิดของเจ้าคิดดูก็แล้วกัน " พระสุรเสียงเรียบเฉย

เช่นเดียวกับสายพระเนตรที่ไม่สนใจกับดวงตาที่ตื่นตระหนกของพระราชบุตร


" เหมือนกับนักโทษ "


" เจ้าจะเป็นกษัตริย์ของอัลซาบันต่างหาก "


" คนที่จะได้เป็นคงเป็นลอเรียทแล้วล่ะ " เจ้าหญิงแสยะยิ้ม


" เจ้าหนูนั่น มีอะไรมาแข่งกับเจ้า เจ้าชายออซเทียแห่งอัลซาบัน "

 

นั่นเป็นเรื่องราวหลายปีก่อนหน้าที่ทุกอย่างจะแตกหักลง

กลับสารบัญ

กลับตอนที่ 1

ไปต่อ