Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!

ตอนที่ ๔ จุดหักเห


" แม่แทบไม่รู้เรื่องข้างนอกเลยตลอด 2 เดือนนี่ เล่าให้แม่ฟังซิ อ้อ…อย่าคิดว่าจะโกหกข้าได้เชียวนะ " ทรงพระสรวลขึ้น


" ท่านแม่รู้จักราชินีมายาใช่มั้ยเพคะ "


" ราชินีคนดังที่ตีแคว้น ลาซาเรีย พินาศ …ใช้เวลาแค่ 2 ปี เท่านั้น "


" แคว้นอันดับ 3 ของทางตะวันตกเฉียงเหนือของเรเนอแลนด์ แต่ตอนนี้ป่าราชินีมาปรากฏที่นี่แล้ว


เพคะ สัญญาณที่เกิดกับลาซาเรีย ก่อนที่ราชินีมายาจะเริ่มโจมตี " ชั่วขณะที่พระราชินีมองเห็นว่า


พระพักตร์ของเจ้าหญิงเปลี่ยนจากอ่อนโยนเป็นเคร่งขรึม แม้แต่น้ำเสียงก็แข็งกร้าวขึ้น


" ดวงตาของเจ้าลุกโชนแอลฟีเรีย เจ้ากำลังกระหายการสู้รบ "


" ข้า…ไม่เคยคิดว่าสงครามเป็นเรื่องสนุกนะเพคะ " แอลฟีเรียประท้วงคำตัดสินของมารดา ก่อนที่จะนิ่งเงียบอีกครั้ง


" สัญชาติญาณไงลูกรัก แม้เจ้าจะบอกว่ารังเกียจการฆ่าฟัน แต่แม่กล้าพูดว่าวันใดที่เจ้าพรากชีวิตอื่นเป็นครั้งแรก

เจ้าจะไม่สามารถหยุดตนเองได้อีก มันก็เหมือนกับปีศาจในตัวเจ้าได้ลืมตาตื่นขึ้นนั่นล่ะ "

พระราชินีตรัสพลางใช้ฝ่าพระหัตถ์ลูบไล้ใบหน้าของเจ้าหญิง


" สัญญากับแม่ ด้วยเกียรติและชีวิตของเจ้า "


" เรื่องอะไรเพคะ "


" เจ้าบอกว่าจะยอมแม่ทุกเรื่อง " พระนางพูดพลางไอออกมาเป็นระยะๆ กระทั่งพระโลหิตเปรอะทั่วพระแท่น เวลาเหลืออีกไม่มากนัก


" เสด็จแม่ "


" ไม่มีเวลาแล้ว เมื่อข้าตายมันก็ใกล้เข้ามาทุกที อย่าฆ่าใครนะแอลฟีเรีย ไม่ว่าจะเป็นคนที่เหยียดหยามเจ้า

หรือคนที่เจ้าเรียกว่าศัตรูของชาติก็ตาม แค่ก….. เป็นเจ้าหญิงที่สวยสง่าเช่นนี้เถอะนะลูกรัก แต่งงานซะ แค่กๆๆ…กับลอเรียทก็ได้

เขาเป็นผู้ชายที่ดี เขาต้องทำให้ลูกมีความสุขแน่ แค่กๆๆๆ…" พระโลหิตเพิ่มปริมาณขึ้นทุกครั้งที่ทรงไอ

แต่ก็ทรงไม่รีรอที่จะกล่าวต่อไป 17 ปีก่อนมาถึงบัดนี้ภาพภาพนั้นยังคง


ตราตรึงอยู่ในดวงตาและดวงจิต แม้แต่กลิ่นคาวเลือดก็เสมือนว่ายังติดอยู่ในทุกอณูของร่างกาย กลิ่นฉุนของคนตาย สิ่งที่เห็นคือ…

… นั่นคือปีศาจ…….. จอมทัพผู้ยืนอยู่เหนือกองซากศพและเศษเนื้อสีแดงฉาน

ดวงตาของมัจจุราชที่ดำมืดแต่สะท้อนสีของเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ไปทั่วสนามรบ ตั้งแต่มือซ้ายไปถึงปลายคมเคียวย้อมไปด้วยเลือดสดๆ

มือขวาคืออาวุธของปีศาจที่คำรามก้องพร้อมๆกับปลดปล่อยยมฑูตสีแดง ทุกสิ่งเบื้องหน้านั้นมีเพียงสีแดงของของพระเพลิง ของเลือด

กับสีดำเกรียมของซากศพเท่านั้น นั่นไม่ใช่มนุษย์……และแม้จะเป็นปีศาจ….มันก็คือมหัตภัยร้ายของทวีปนี้ ของโลกนี้


" เสด็จแม่ ทรงทำใจดีไว้เพคะ ..ข้าต้องตามหมอ " เจ้าหญิงรีบลุกขึ้นและพยายามจะวิ่งไปที่ประตู หากแต่พระราชินีรั้งนางไว้

ทรงยึดลำแขนสีขาวนั้นไว้ราวกับว่าไม่ต้องการให้นางจากไปไหน ไม่ต้องการแม้แต่ให้นางได้พบ ได้เห็นสิ่งใด

ให้เจ้าหญิงยังคงบริสุทธิ์เช่นนี้ตลอดไป


" ไม่ต้องไป…สะ…สัญญากับข้า เจ้าจะ…จะแต่งงานกับลอเรียท…แค่ก..จะไม่ไปรบ… "


" เสด็จแม่..ลูกสัญญาเพคะ ได้โปรดปล่อยลูก ข้าต้องไปตามหมอนะเพคะ " เจ้าหญิงไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำพระเนตรได้อีกต่อไป

เปลือกตาของพระมารดาหรี่ลงเต็มที ทรงหอบหายใจถี่รัว และเลือดก็ซึมออกจากทุกอณูของร่างกาย ริมฝีปากย้อมไปด้วยสีแดง


" จะ…เจ้าต้องไม่ฆ่าใคร…แม้แต่คนเดียว …"


" ข้าสัญญา ทุกเรื่องที่ปรารถนาข้าให้สัญญา ปล่อยข้าเถอะ เสด็จแม่ …" เจ้าหญิงตะโกนออกมาเสียงดัง

พร้อมกับน้ำพระเนตรที่ไหลอาบแก้ม กลิ่นของความตายเริ่มคละคลุ้ง……


พระหัตถ์ขององค์ราชินีหลุดออกจากลำแขนชององค์หญิง ทว่า…เจ้าหญิงแอลฟีเรียมิได้ทรงไปตามแพทย์หลวงแต่อย่างใด

ทรงทรุดพระวรกายลง และนิ่งอยู่ข้างพระศพเช่นนั้น ดวงตานั้นแม้จะมีหยาดน้ำใสๆพรั่งพรูออกมา แต่เสียงของเจ้าหญิงกลับขาดช่วง

…….มีเพียงความเงียบกับซากศพที่เริ่มส่งกลิ่นและเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วของสมเด็จพระราชินีแห่งอัลซาบันเท่านั้นที่อยู่เคียงข้าง



ในคืนนั้นพิธีบรรจุพระศพได้เริ่มขึ้นอย่างเงียบเชียบ พระจักรพรรดิทรงเป็นประธานในพระราชพิธี

ไม่มีเจ้าหญิงแอลฟีเรียอยู่ภายในบริเวณนั้น ต่างก็ร่ำลือว่าทรงตกพระทัยกับภาพของความตายครั้งแรกสำหรับผู้ใกล้ชิด

ทั้งนี้ก็ทราบกันดีอยู่ว่าทรงเป็นผู้เดียวที่พระราชินีอนุญาตให้เข้าเฝ้าในวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ

ซึ่งแม้แต่พระจักรพรรดิก็ไม่ได้ทรงได้รับอนุญาต ด้วยสาเหตุจากประเพณีที่ว่า ยามตายของนักรบ

คือโอกาสครั้งสุดท้ายที่ตนจะเลือกสิ่งที่ตนปรารถนาที่สุดได้อย่างอิสระ และสำหรับองค์ราชินี

ทรงเลือกที่จะประทับอยู่เพียงลำพังกับพระราชบุตรี เป็นครั้งสุดท้าย


พิธีศพจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติในเช้าวันต่อมา และทั่วทั้งพระนครก็อยู่ในความเงียบเชียบ เป็นเวลากว่าสัปดาห์ ก่อนที่


" กราบทูลฝ่าบาท ขณะนี้กองทัพไม่ทราบสัญชาติบุกรุกเข้ามาในเขตชายแดนทางใต้แล้วพะย่ะค่ะ

สายรายงานว่าหากไม่จัดทัพออกต้านข้าศึกภายในระยะเวลา 3 วัน ทัพศัตรูจะสามารถขึ้นมาถึงนครแซงเนเทียส ได้ "


จากข่าวนี้เอง กองทัพอัลซาบันที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้การนำของสมเด็จพระจักรพรรดิคาไรเซอร์จึงได้รับการจัดตั้งขึ้น

 

" แอลฟีเรีย " ลอเรียทเรียกพระนามของเจ้าหญิง ขณะนั้นนางนั่งอยู่เพียงลำพังภายในอุทยานที่เดิม

ที่ซึ่งครั้งหนึ่งกริฟฟินได้เหยียบย่ำเสียจนเกือบป่นเป็นผง

แต่ต่อมาได้รับการบูรณะเสียใหม่ภายใต้การควบคุมของอดีตสมเด็จพระราชินี ไม่เพียงแค่นั้น

ยิ่งในยามบ่ายเช่นนี้ภาพของพระราชมารดายิ่งเด่นชัดขึ้น ในเวลาบ่ายทรงโปรดปรานการนั่งอ่านหนังสือเพียงลำพัง จิบชา

ภายในอุทยาน และทุกอย่างก็เงียบสงบ ในวันนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา สายลมกรรโชก เหล่าปักษาต่างก็ร้องเพลงกัน ทุกอย่างผิดกับที่เคย

ราวกับว่ามันรู้ว่าผู้ที่พวกมันเคยหวาดเกรง จะไม่มีวันกลับมาครอบครอง สั่งการมันได้อีก แน่ล่ะ…ในเมื่อ


เจ้าหญิงที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นเพียงหญิงที่ไร้พิษสงคนหนึ่งเท่านั้น


" ราชินีมายายกทัพมาแล้วนะ เจ้าไม่ไปเฝ้าพระจักรพรรดิรึ " ไม่มีเสียงตอบกลับลอเรียทมา

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นภาพเช่นนี้ของแอลฟีเรีย นางเข้มแข็ง เย่อหยิ่ง ปราดเปรียว เสมอมา

ครั้งนี้เท่านั้น….ท่ามกลางสวนที่เปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ 7 วัน 7 คืน กับน้ำค้างที่เย็นเยียบยามค่ำคืน และแสงอาทิตย์ร้อนกล้ายามกลางวัน


" เจ้าดูแย่มาก เจ้าทำแบบนี้พระราชินีไม่พอใจหรอกนะ…" ลอเรียทก้าวเข้าไปใกล้นางอีก เขายืนอยู่ใต้ร่มไม้เดียวกับแอลฟีเรีย

นางนั่งอยู่กับพื้นดิน หน้าตา เนื้อตัวมอมแมม ดวงตา….ว่างเปล่า


" อย่าทำแบบนี้เลยแอลฟีเรีย ทั้งโรล่า คีพ และก็ข้า ต่างก็ห่วงเจ้าทั้งนั้น มันน่าเศร้าที่พระนาง


สิ้นพระชนม์ไปต่อหน้าเจ้า แต่โรค ลูเมเซีย เป็นโรคร้ายนะ เจ้าต้องเข้าใจสิว่ามันเกินความสามารถของเจ้า " เขาพยายามปลอบใจ

แอลฟีเรียยังคงเงียบไปอีกพักหนึ่ง…..


เจ้าหญิงค่อยๆหันพระพักตร์มาหาพระคู่หมั้น ดวงตาของนางไม่แดงก่ำ ไม่มีร่องรอยของน้ำตา ดวงตาคู่นั้นเงียบและเวิ้งว้าง


" เจ้าอยากให้ข้าไปออกรบกับราชินีมายารึเปล่าล่ะ " เจ้าหญิงถามเสียงเรียบ


" ไม่มีใครอยากให้คู่หมั้นตัวเองไปเสี่ยงตายหรอก แต่เอาเถอะเพราะยังไงข้าก็จะไปกับเจ้า "


" เจ้าไม่จำเป็นต้องไปไหนหรอก ลอเรียท อยู่ที่อัลซาบัน….กับข้า "


" หมายความว่า……."


" แต่งงานกับข้าลอเรียท ข้าจะเป็นภรรยาให้เจ้า จะไม่จับอาวุธ ไม่ทำสงคราม …..ข้า..จะเป็นแม่บ้าน…จะเลี้ยงลูกให้เจ้า…..ได้ไหม "


ทั้งสองนิ่งเงียบไปช่วงหนึ่ง ลอเรียทแทบจะทำใจให้เชื่อคำพูดที่เพิ่งจะผ่านเข้าไปในหูของเขาไม่ได้

คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาใช่แอลฟีเรียรึเปล่า ใช่ออซเทีย คนที่เขาเคยพบมารึเปล่า….แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร คนผู้นี้คือคู่หมั้นของเขา

คือหญิงที่เขามอบหัวใจให้มานานแสนนานแล้ว


" แน่ใจในสิ่งที่ตนเองพูดงั้นรึ แอลฟีเรีย "


" ข้าไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ตนเองพูด ลอเรียท "

" …..แล้วเรื่องรบกับราชินีมายา " ลอเรียทพูดน้ำเสียงกึ่งตกใจกึ่ง…ยินดี


" ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง…." ทรงตรัสเพียงเท่านั้น คนทั้งคู่ต่างก็จ้องมองกันด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาด

ก่อนที่เจ้าหญิงจะเป็นฝ่ายเดินจากไป


ลอเรียทนั้นไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น เจ้าหญิงแอลฟีเรียทรงพยายามที่จะทำอะไร นางผู้ที่เป็นสหายสนิท เป็นรักที่บริสุทธิ์

เป็นความหวังทั้งมวลของเขา จะเกิดอะไรขึ้นถ้านางปฏิเสธการออกรบ

จะเป็นเช่นไรถ้าองค์จักรพรรดิทรงทราบว่านางต้องการจะแต่งงานมากกว่าการทำสงคราม แอลฟีเรียเป็นอะไรไป

การสวรรคตของพระมารดาทำให้นางหมดอาลัยตายอยากถึงเพียงนี้เชียวรึ ราวกับนางไม่ใช่สตรีที่เขาเคยรู้จักมาเลย


" แย่แล้วค่ะ ท่านพี่ " เสียงโรล่าดังมาจากห้องโถง นางเปิดประตูห้องของเขาเข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาต เป็นอะไรไป


" มีอะไร เจ้าเพี้ยนรึยังไงกัน " ลอเรียทว่าพลางลุกขึ้นจากที่นอน


" ไม่ใช่เวลาใจเย็นอยู่นะคะ ตอนนี้ท่านออซเทียถูกจักรพรรดิสั่งลงฑัณฑ์แล้วเพคะ "


" พูดเรื่องอะไรน่ะ "


" ท่านออซเทียถูกสั่งลงอาญา จักรพรรดิรับสั่งว่าจะประหารพระองค์ "


ราวกับโลกหมุนกลับด้านไปเสียแล้ว

กลับสารบัญ

กลับตอนที่3

ไปต่อ