Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!

 

บทที่๕ การสนทนาในเรือนจำ


เช้าตรู่ของวันที่ 2 หลังจากเจ้าชายออซเทียถูกสั่งจำคุก องค์จักรพรรดิทรงอนุญาตให้ข้ารับใช้ในเจ้าชายเข้าเฝ้าที่เรือนจำกลางได้

บุตรชายและบุตรสาวของท่านขุนพลเทเทียสเป็นเพียง 2 ท่านที่ได้รับพระกรุณาจากองค์จักรพรรดิ


เรือนจำเวทมนต์ของอัลซาบันได้ชื่อว่า " แดนของผีดิบ " ผู้ที่ถูกจองจำนั้นเสมือนหนึ่งตายทั้งเป็นแม้จะมีลมหายใจ

แต่สตินั้นกลับค่อยๆเลือนหายไปด้วยเวทมนต์แห่งกาลเวลา ไม่รู้เวลาเช้า ไม่ทราบเวลาเย็น เป็นเช่นนี้เรื่อยไป แรมเดือน แรมปี

ท้ายที่สุดก็ไม่มีนักโทษผู้ใดเคยได้รับอิสระภาพ ..ผู้สูงศักดิ์ทั้งสองเดินลงไปในชั้นใต้ดินที่ลึกกว่า 333 ชั้น และในห้องขังที่ 666

ของชั้นสุดท้ายนี้เอง ที่พวกเขาได้พบกับ…


" ท่านออซเทีย!" โรล่าเดินเข้าไปสวมกอดร่างที่ซีดเซียวของนายเหนือชีวิตไว้ เจ้าชายนั่งคู้อยู่ริมผนังด้านในสุดของห้อง

จริงอยู่ว่านางไม่เชื่อว่าเวทมนต์ของบรรพกษัตริย์จะทำร้ายเจ้าชายได้ แต่สภาพที่เห็นนั้นราวกับว่านี่คือนักโทษอุจฉกรรจ์

โซ่ตรวนเหล็กลงอาคมเส้นหนาที่พันธนาการมือและเท้าเอาไว้ ชวนให้เวทนายิ่งนัก

แต่ถึงกระนั้นบุตรีของท่านขุนพลก็หาได้หลั่งน้ำตาอย่างโศกเศร้าออกมาไม่


" เกิดอะไรขึ้นเพคะ ท่านบอกข้าได้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น " โรล่าเอ่ยขึ้น เจ้าชายเพียงแต่ยิ้มอย่างเศร้าๆให้เท่านั้น

ซึ่งนั่นหาใช่คำตอบที่ปรารถนาไม่


" เพราะปฏิเสธการรบใช่มั้ย เพราะเจ้าปฏิเสธองค์จักรพรรดิจึงเป็นเหตุให้พระองค์พิโรธ…แอลฟีเรีย "

ลอเรียทนั่งลงข้างๆร่างของแอลฟีเรีย เขาเอื้อมไปกุมมือที่เย็นชืดของนางไว้ แอลฟีเรียชายหางตามามองเขา

แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรเป็นพิเศษ


" ให้ข้าเดาต่อเถอะนะ ในวันที่สมเด็จพระราชินีสวรรคตท่านตรัสบางอย่าง นั่นเป็นสิ่งที่ข้าไม่รู้ แต่..ข้าไม่เห็นด้วย " ลอเรียทเสียงแข็งขึ้น

ในขณะที่เจ้าหญิงหันมามองเขาบ้าง ดวงตาของนางจ้องเขม็ง นั่นล่ะ…ดวงตาที่แอลฟีเรียเคยมี เคยเป็น


" เจ้ารู้อะไรถึงบอกว่าไม่เห็นด้วย เจ้าควรจะยินดีที่สตรีผู้เป็นคู่หมั้นยอมเอาชีวิตเป็นเดิมพันปฏิเสธการออกรบ…เพื่อครองคู่กับชายว่าที่สามีมิใช่รึ "

น้ำเสียงนั้นไม่เชิงว่าจะราบเรียบ แม้ว่านางจะพยายามระวังคำที่ออกมาแล้วก็เถอะ แต่ก็ดูเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายหน้าแดงขึ้นมาทีเดียว


" ถ้าสตรีผู้นั้นคิดเช่นนั้นจริง ไม่ว่าชายใดก็ย่อมปิติ…แต่ข้าไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่เจ้าทำ แอลฟีเรียบอกข้าเถอะ เกิดอะไรขึ้นพระนางขอให้เจ้าแต่งงานกับข้าใช่ไหม ขอให้เจ้าไม่ไปรบ อย่างที่ข้าพูดว่าไม่เห็นด้วย ผู้ใดที่ขัดบัญชาองค์จักรพรรดิมีโทษสถานใดเจ้ารู้ดีที่สุด การออกรบไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะผิดสัญญาซะทีเดียวนี่ ภายหลังเสร็จศึกราชินีมายาข้าสาบานว่าจะทูลขอพิธีแต่งงานกับองค์จักรพรรดิ พระองค์ต้องทรงยินยอมแน่นอน "

ลอเรียทกล่าวด้วยน้ำเสียงละมุนละม่อม แต่แอลฟีเรียไม่ตอบ

" คีพล่ะ? "

" ท่านก็ทราบดีว่าเขามาไม่ได้นี่เพคะ มนุษย์…แค่การดำรงอยู่ในดินแดนแห่งนี้ก็ยากเย็นเต็มที " โรล่าตอบ

" อัลซาบัน…ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้ ข้ารู้ดีว่าองค์จักรพรรดิประกาศที่จะประหารข้าหลังจากศึกราชินีมายา ถ้าข้าตายเจ้าต้องพาคีพไปจากที่นี่ ถ้าเป็นเขา…ประเทศที่ชาญฉลาดมีรึจะไม่ยอมรับ "

" นี่ไม่ใช่คำสั่งเสีย…ข้าไม่ทำตามเพคะ คีพเองก็เช่นกัน ท่านทราบดีกว่าใครว่าข้าทั้งสองคนคิดอย่างไร ข้าสองจ้าวบ่าวสองนาย ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก "

" คนตายสนองความปรารถนาของพวกเจ้าไม่ได้ "

" ทราบได้อย่างไรเพคะ ข้า คีพ แม้แต่ท่านพี่ เราสามคนพร้อมที่จะตายเพื่อท่าน เพียงท่านออกคำสั่ง เราจะพาท่านไปจากที่นี่ "

โรล่ากล่าวด้วยท่าทีจริงจัง แต่ออซเทียกลับหัวเราะขึ้นเบาๆ

" หนีจากอัลซาบัน…น่าอายยิ่งกว่าความตายเสียอีกนะ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะข้าจะไม่ไปไหน ถ้าชีวิตข้าถูกลิขิตให้ตาย ข้าก็ต้องตาย ชีวิตที่ไม่สมประกอบ ก็ดูจะสมควรจบที่ความตายอันไร้เหตุผล อัลซาบัน ช่างภักดีกับองค์จักรพรรดิคาไรเซอร์ยิ่งนัก "

แววพระเนตรของเจ้าชายรัชทายาทดูราวกับจะลุกวาวขึ้นชั่วขณะหนึ่ง นั่นมิใช่ดวงตาของผู้ที่ทอดอาลัยในเงื้อมมือของพญามัจจุราชเลย

" เจ้าต้องตามพ่อเจ้าไปรบนี่ลอเรียท " เจ้าหญิงตรัสถาม

" ข้าถูกกักบริเวณ คงรู้ดีนะว่าเพราะอะไร ดูท่าพระองค์จะรังเกียจข้าเสียเหลือเกิน….ข้ายืนยันให้เจ้าไปรบนะ เจ้าไม่ควรตายที่นี่ "

" เจ้าคงเป็นผู้ชายคนแรกที่สนับสนุนให้ภรรยาไปสู่สนามรบ…เพื่อเอาชีวิตรอดจากพ่อตา " แอลฟีเรียหัวเราะขึ้น

ใบหน้าที่ดูซีดเซียวนั้นไม่อาจลบความงามของนางไปได้เลย ดวงตานั้นสุกปลั่งเต็มไปด้วยความหวัง

มือของนางแม้จะเย็นแต่ก็มีไออุ่นที่สัมผัสได้ รอยยิ้มนั่น.คือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับลอเรียท

" ถ้าเช่นนั้นอย่างที่โรล่าพูด ถึงเจ้าไม่อยากแต่เราจะพาเจ้าไป "

" ไร้สาระ "

" แต่ใช่จะเป็นไปไม่ได้…ก่อนองค์จักรพรรดิเสด็จกลับ พวกเราจะไปจากที่นี่ แม้ข้าจะรักอัลซาบัน แต่เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะอยู่บนแผ่นดินที่เลือดของสตรีเจ้าชีวิตของข้าไหลริน "

บุตรชายท่านขุนพลจุมพิตที่มือของเจ้าหญิงก่อนที่จะลุกขึ้นยืน

" ข้าจะไม่ไปไหน " เจ้าหญิงรับสั่ง

" งั้นเจ้าก็เป็นภรรยาที่ไม่ดีเอาเสียเลยล่ะ แอลฟีเรีย " กล่าวจบลอเรียทก็เดินออกไปจากห้องคุมขัง

โรล่าก้มลงจุมพิตที่มือของเจ้าชายออซเทียเช่นกัน ใบหน้าของนางแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นบางประการ

ที่สำหรับเจ้าชายในเวลานี้ดูจะไร้ค่าเอาเสียเหลือเกิน

คล้อยหลังพี่น้องผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง เจ้าหญิงแอลฟีเรียถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย แววพระเนตรเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด การรบ

การแต่งงาน สิ่งไหนกันแน่คือความถูกต้อง สำหรับพระมารดามือที่บริสุทธิ์ กับเสียงร้องด้วยความยินดีในพิธีสมรสดูราวกับสวรรค์

นั่นคือความปรารถนาของพระนาง แต่กลับพระบิดาองค์จักรพรรดิผู้ครองบัลลังก์ปีศาจ ต้องมือที่ย้อมด้วยโลหิต

ต้องเป็นเสียงกู่ร้องของทหารหาญผู้กระหายเลือด นั่งคงเป็นความต้องการอันสูงสุด แล้วชายผู้เป็นคู่หมั้นผู้นั้น

หญิงคนรักที่มีชีวิตที่ไร้อิสระเช่นนั้นหรือ หญิงผู้ทรยศอัลซาบัน อะไรก็ได้ขอเพียงร่างนี้มีชีวิตและไม่หมดลมไปต่อหน้าเขา

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนที่เป็นชีวิตของนางปรารถนา พวกเขาต้องการมากมายเสียเหลือเกิน ตั้งแต่วินาทีที่ลืมตาดูโลกสกปรกใบนี้

ก็ราวกับมีคนสองคนในร่างเพียงร่างเดียว เจ้าหญิงแอลฟีเรียที่พร้อมจะออกเรือนแต่งงานอย่างสตรีชาววัง

เจ้าชายออซเทียผู้เก่งกล้าสามารถพร้อมบัญชาการในสนามรบ เหตุใดจึงต้องการกันมากมายเช่นนั้น ตัวผู้ซึ่งนั่งอยู่ในเรือนจำที่มืดครึ้ม

เหม็นอับ ผู้นี้ล่ะเป็นใคร ไม่ใช่แอลฟีเรียเพราะท้ายที่สุดนางก็ทำตามสัญญากับพระมารดาที่จะแต่งงานไม่ได้

ไม่ใช่ออซเทียเพราะดื้อดึงไม่ยอมออกรบ เช่นนั้นแล้วคนที่อยู่ตรงนี้คือใคร อยู่เพื่ออะไร

สองคนนั้นดำรงอยู่เพื่อสนองความปรารถนาของคนสองคน ของบุพการี แล้วคนตรงนี้ คนที่พาตัวเองจากจุดสูงสุดสู่ความต่ำสุดผู้นี้ล่ะ

เขาเป็นใคร ชื่อว่าอะไร ความต้องการของเขาล่ะ มันคืออะไรกัน

…..ความคิดเหล่านี้หมุนวนอยู่ภายในใจของบุคคลในเรือนจำผู้นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างเนิ่นช้า แต่สุขุม

ดูทุกข์ทรมานแต่คงจะส่องประกายในสักวัน

กลับสารบัญ

กลับตอนที่ 4

ไปต่อตอนที่5/2