Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!

คนสุดท้าย


" ตอนนี้กองทัพพันธมิตรเข้ามาในเขตเราแล้วครับ แนวหน้าเราแตกพ่ายหมดแล้ว "


ทหารสื่อสารส่งข่าวผ่านวิทยุมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่คลื่นจะขาดหายไป สำหรับฉันข่าวนี้ไม่อาจทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้

ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในเต็นท์บัญชาการ ต่างกับนายทหารเสนาธิการ ๒ คนข้างๆที่กำลังขะมักเขม้น เก็บของ เพื่อเตรียมสั่งถอยทัพ

ในขณะที่มือวุ่นวายกับการเคลื่อนย้ายวิทยุ และอาวุธ ปากก็สบถถ้อยคำ


หยาบคาย เพื่อด่าว่า ๒ ผู้นำของกองทัพที่กำลังจะทำให้เราแพ้อยู่นี่ คนแรกคือ เจ้าหญิง รุกข หรือที่ใครๆนิยมเรียกกันว่า แม่ทัพใหญ่

เป็นคนที่สมควรโดนรุมประชาทัณฑ์มากที่สุด เพราะเธอเป็นคนที่ยื่นข้อเสนอการร่วมมือของฝ่ายพันธมิตร ส่วนอีกคน จอมพลทวี

หัวหน้ากบฎชนกลุ่มน้อยที่ป่าเถื่อน เลวทราม ที่สุดเท่าที่เคยพบ ใครจะคาดเดาได้ ว่า เขาจะตอบรับสัญญาพันธมิตรของฝ่ายราชวงศ์

จนเป็นเหตุให้ ฉัน ซึ่งเป็นบุคคลที่สามต้องมาได้รับความพ่ายแพ้อย่างน่าอัปยศอดสู เช่นนี้ ใครจะไปคิดได้ว่า คนเจ้าทิฐิ

สองคนนั่นจะทำเช่นนี้


" คุณลิน เตรียมลี้ภัยชั่วคราวก่อนเถอะ เดี๋ยวทัพหน้าของข้าศึกคงจะบุกเข้ามาถึงที่นี่แน่ พวกนั้นไม่ยอมปล่อยคุณไปแน่ "


รองเสนาธิกาาร หันมาพูดกับฉันขณะที่เขาตัดสายไฟเส้นสุดท้ายของวิทยุออก เขารู้ดีว่ากองทัพ


พันธมิตรโหดร้ายเพียงใด และรู้ว่าในบรรดาสามคนที่นี่ ใครที่สมควรตายที่สุด แน่นอนว่าในสงคราม คนทรยศ

คือคนที่จะต้องละเลงเลือดของตนเป็นคนแรกหลังจากที่ปราชัย สำหรับในกรณีของฉัน เป็นคนทรยศที่หักหลังความเชื่อใจของพวกเขา

พวกนั้นคงทำใจให้เชื่อลำบากว่า เพื่อนที่น่ารัก คนที่แสนซื่ออย่าง ลิน จะกลายมาเป็นที่ปรึกษาของพวกบุคคลที่สาม อย่างในเวลานี้

บางทีโลกนี้ก็เล่นตลกยิ่งนัก


ทำไมคนธรรมดาอย่างฉันถึงเป็นเพื่อนของผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคอย่างสองคนนั้น และทำไมฉันถึงหักหลังพวกเขา

บางทีตัวฉันก็อยากที่ลืมเหตุผลนั่นทิ้งไปเสียเหลือเกิน แต่ตรงกันข้ามดูเหมือนว่าใครๆก็ชอบที่จะถามฉันในเรื่องเหล่านี้มากที่สุด

ฉันกำลังย้อนนึกถึงวันเวลาเก่าๆที่ฝังอยู่ลึกที่สุดในมโนสำนึก โบราณว่ากันว่า คนใกล้ตายจะนึกถึงอดีต

แม้ตอนนี้ร่างกายของฉันจะยังปกติดีอยู่ แต่ก็เหมือนว่าได้ขุดหลุมศพและหย่อนตัวเองลงไปแล้วกว่าครึ่ง จะว่าไป ลิน

ก็เริ่มขุดหลุมศพให้ตัวเองทีละนิดแล้ว ตั้งแต่เริ่มคบกับสองคนนั่น


พวกเราเคยเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน ถ้าความทรงจำของฉันไม่ผิด โรงเรียนนี้คือ โรงเรียนนายร้อยทหารบกแห่งราชอาณาจักร

ซึ่งฉันสั่งทิ้งระเบิดไปเมื่อ ๓ ปีก่อน ในเวลานั้นฉันเป็นเพียงนักเรียนระดับกลางที่ทำคะแนนเป็นอันดับหนึ่งเฉพาะวิชาข้อเขียน

ส่วนปฏิบัตินั้น…อย่าพูดถึงมันเลย นักเรียนแบบฉันก็แค่บังเอิญได้


รู้จักสองคนนั่น รุกข กับ ทวี ที่ใครๆก็คาดว่าเป็นคู่กรณีที่มีปัญหาร้ายแรงที่สุดของโรงเรียน

สืบเนื่องมาจากการที่คนหนึ่งเป็นเจ้าหญิงรัชทายาทของฝ่ายราชวงศ์ที่ครองอำนาจทางการเมืองมากว่า ๒๐๐ ปี

ส่วนอีกฝ่ายเป็นลูกชายของหัวหน้าคณะปฏิวัติ หรือที่ ถูกเรียกว่า " พวกกบฏชนกลุ่มน้อย " คน ๒ กลุ่มนี้รบกันมากว่า ๒๐ ปีแล้ว

ตั้งแต่พวกเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า โลกคืออะไร สงครามคืออะไร


ในโรงเรียน รุกขเป็นนักเรียนชั้นแนวหน้าที่ทำคะแนนในฐานะนายทหารได้ดีเยี่ยมทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ

ตรงกันข้ามกับทวีที่มักจะรั้งท้ายเสมอ ไม่ใช่เพราะเขาหัวไม่ดีหรือไม่เก่ง แต่เพราะนิสัยที่มุทะลุ ดุดันและออกจะขวางโลกของเขา

ทำให้ถูกลงโทษทางวินัยบ่อยจนขาดสอบอยู่เสมอๆ หรือไม่ก็โดดเสียเอง ถ้าฉันเป็นคนอื่นฉันคงจะชอบรุกขมากกว่าแน่

ก็เหมือนกับบรรดาอาจารย์และเพื่อนที่ชื่นชมในบุคลิกภาพที่เป็นต่อของรุกข ความสง่างามแบบนายทหารหาญ และ

ความทรนงในศักดิ์ศรีในฐานะเจ้าหญิงรัชทายาท ทุกสิ่งที่รวมเป็น รุกข ดูดีและโดดเด่นเสมอ


รุกขกับทวีมีปากเสียงกันบ่อยแต่ไม่เคยถึงขั้นใช้กำลังรุนแรง เนื่องจากว่าครอบครัวของพวกเขาทำสัญญา สงบศึกในเขตพื้นที่ ๑๐๐

ไร่ที่เป็นโรงเรียนการทหาร ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องเคารพในกติกานี้ แต่ฉันต้องขอสารภาพว่า

ฉันไม่เคยเชื่อเลยว่าสองคนนี้จะเชื่อในกติกานั่น และออกจะหลงตัวเองไปว่าพวกเขาทำเพื่อให้เกียรติฉัน

ฉันจำไม่ได้ถึงวันที่พูดกับพวกเขาครั้งแรก หรือ เมื่อไหร่ที่เรากลายเป็นเพื่อนกัน แต่มันก็ผ่านไปอย่างลุ่มๆดอนๆตลอดเวลา ๕

ปีในโรงเรียน จำได้ว่าถ้าครั้งไหนมีข่าวการรบระหว่างพวกราชวงศ์กับกบฏ ๒ คนนี่ก็จะมีปากเสียงกันมากจนผิดปกติ ครั้งหนึ่ง อาจารย์

ให้แบ่งกลุ่ม ๒ กลุ่มเพื่อเรียนในหัวข้อการวิเคราะห์สถานการณ์โลก รุกขกับทวี

เสนอให้อาจารย์จัดสถานการณ์เป็นเวทีสหประชาชาติในอดีต รุกขเป็นตัวแทนจากประเทศสหรัฐอเมริกา ทวีเป็นสหภาพโซเวียต

แล้วพวกเขาก็พูดกันถึงเรื่องสงครามเย็น

การโต้เถียงออกจะรุนแรงไปซักหน่อยและยิ่งแย่ขึ้นเมื่อทวีถอดรองเท้าตนเองปามาถูกศีรษะของรุกข และตัวเขาก็แก้ตัวว่าเขาเป็น

ครุสเชฟ สถานการณ์ขณะนั้นเกรงว่าจะกลายเป็นสงครามจริงๆไปเมื่อ รุกข เดินออกจากห้องเรียนไปไม่พูด


ไม่จา ใครๆคิดว่าเรื่องจะยุติ ที่ไหนได้ ก่อนหมดคาบเรียนพวกเราไปเตรียมเรียนที่ห้องวิทยาศาสตร์

ทันทีที่ทวีเปิดประตูเข้าไปเป็นคนแรก เขาก็ถูกระเบิด เข้าอย่างจัง เคราะห์ดีที่นั่นเป็นเพียงประทัดที่มีเสียงระเบิดเท่านั้น

รุกขเดินเข้าห้องมาเป็นคนสุดท้ายเธอพูดกับทวีว่า " เรายังคงเล่นบทบาทสมมุติกันอยู่ไม่ใช่รึ "


จริงอย่างที่รุกขว่า เพราะหลังจากที่กริ่งหมดคาบเรียนดังขึ้น เราสามคนก็ไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

และเมื่อฉันพยายามจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ สองคนนั่นก็พูดว่าเสียใจเกือบจะพร้อมกัน ไม่ได้เสียใจที่ทำเรื่องบ้าๆนั่น

แต่เสียใจที่ให้ฉันเห็นภาพที่ไม่น่าดูของพวกเขา พูดได้ว่าเมื่อมีปัญหาระหว่างสองคนนี้ทีไร มันมักจะยุติลงที่ฉันเสมอ

แม้จะไม่อาจเอื้อมเป็นคนไกล่เกลี่ยก็เถอะ แต่ก็มีบางอย่างที่บอกให้รู้เสมอว่าพวกเขา เกรงใจฉัน

ในฐานะเพื่อนฉันยอมรับว่าดีใจมากทีเดียว


ในวันจบการศึกษาพวกเราพูดคุยกันถึงเรื่องอนาคต ซึ่งฉันคาดอยู่แล้วกับคำตอบของรุกขกับทวี ที่


ยืนยันว่าจะดำเนินรอยตามครอบครัว ทำสงครามกันต่อไป ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงที่แสนเรียบง่ายของพวกเขาเมื่อพูดถึงการทำสงคราม

น้ำตาของฉันก็อดกลั้นไว้ไม่อยู่ มิตรภาพของพวกเรามันเปราะบางยิ่งกว่ากระจกร้าวๆเสียอีก เวลา ๕ ปี

ไม่ได้สอนความคิดในเรื่องของการผูกมิตรให้เลย ไม่มีความคิดจะยุติการหลั่งไหลของเลือดที่ชุ่มโชก หยาดล้นแผ่นดินเลย

…………อย่างไรเสียฉันก็เป็นแค่คนนอก ฉันตัดสินใจที่จะเป็นกลางที่สุดไม่แยแสทั้งรุกขและทวี จะให้ฉันทำอย่างไร ฉันชอบพวกเขามาก

พวกเขาเป็นเพื่อนของฉัน จะให้ฉันทำอย่างไรได้เล่า หลังเรียนจบฉันทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนเกือบ ๔ ปี แต่…….

กลับหน้าแรก

หน้าต่อไป