ลำนำบทที่ 4 ค่ำคืนก่อน
กษัตริย์ไทฟุเข้ามาตั้งค่ายที่ชายแดนของเรียวโฮได้ครบ 2 วันพอดี ขณะนี้มีการปะทะกันระหว่างกองทัพของกษัตริย์ทั้งสองเล็กน้อย
ทั้งสองฝ่ายต่างก็อดใจรอเวลา การดูเชิงของกษัตริย์ชินบุและกษัตริย์ไทฟุเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ทว่า..สำหรับกษัตริย์ที่อยู่ในสภาวะกดดันที่สุดนั้น ดังเช่นกษัตริย์ชินบุเต็มไปด้วยอารมณ์แค้นที่คุกกรุ่น
เจ้าชายทาคาสึระได้ทรงทำในสิ่งที่เป็นผลร้ายที่สุดต่อทหารของเกได
การติดต่อกษัตริย์ไทฟุเป็นผลสำเร็จจะทำให้ชาวเมืองกระด้างกระเดื่องต่อกองทหารของพระองค์
ความวุ่นวายและการต่อต้านรุนแรงขึ้นทุกขณะที่กองทัพของโฮซึมะเคลื่อนเข้าใกล้
ภาวะการณ์เช่นนี้ย่อมส่งผลร้ายต่อพระองค์อย่างแน่นอน อีกคนที่สมควรจะต้องรับโทษครั้งนี้อย่างที่สุด
เด็กน้อยที่บังอาจลูบคมกษัตริย์
" ร้ายนักนะ " กษัตริย์ชินบุตวาดเสียงดังใส่หน้าเจ้าชายทัตสึมะขณะที่กดร่างของเจ้าชายลงกับพื้น
" ไม่เข้าใจที่ทรงตรัส " เจ้าชายตอบ
" พี่เจ้าไปโฮซึมะ กล้าดียังไงถึงโกหกข้าว่าไปอาสึมะ "
" ข้าไม่ได้ตอบว่าท่านพี่เสด็จไปที่ใด แต่ท่านทรงเชื่อเอง
. " ไม่ทันตรัสจบ
กษัตริย์ชินบุฟาดฝ่ามือลงบนพระพักตร์ซีกซ้ายของเจ้าชายอย่างแรง
" แน่มากที่ต่อปากต่อคำกับข้า รู้สถานะของตัวเองซะบ้างถ้าเกิดสงครามเจ้าเป็นตัวประกันของข้า ถ้าข้าจะฆ่าเจ้าซะตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย ตัดหัวเจ้าเสียบประจาน ไม่สิ..ห่อส่งไปเป็นของขวัญให้พี่เจ้าดีกว่า ว่าไง อยากตายสภาพไหนดีล่ะ "
คราวนี้ทรงแสยะยิ้มขึ้นเลือดเย็น เจ้าชายทัตสึมะทรงรู้สึกรังเกียจ ขยะแขยง และหวาดกลัวขึ้นในเวลาเดียวกัน
ผู้ชายคนนี้คงจะเอาจริงแน่ และเขาก็อาจจะต้องตายจริงๆ ทั้งที่
อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น
จะได้พบท่านพี่
"
.. "
" ตอบสิ นิ่งเงียบทำไมเล่า " กษัตริย์โน้มพระวรกายลง ทรงเลียใบหูและพระพักตร์ของเจ้าชายทัตสึมะ
" หยุดนะ!
" เจ้าชายน้อยทรงร้องขึ้น
" นึกว่าใบ้กินซะแล้ว
.. นึกอะไรดีๆได้แล้ว
.เจ้าก็รู้ใช่มั้ยว่ามันมีเรื่องที่แย่ยิ่งกว่าการตาย
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้าชายนั่นคงแทบบ้าแน่
คิดออกมั้ยว่าอะไร "
เจ้าชายทัตสึมะทรงจำความรู้สึกนี้ได้ดีทีเดียว ริมฝีปากที่โน้มลงมาฉีกกัดพระองค์ ร่างกายที่กดทับลงมา อึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก
ตรงข้ามกับความรู้สึกรังเกียจ ประสาทสัมผัสทั่วร่างกลับร้อนขึ้น เสียงหัวใจเต้นถี่รัว
สมองไม่ได้รับรู้เรื่องใดๆอีกแล้ว
..
" คิดออกรึยัง " กษัตริย์ตรัสถาม
"
.กรุณาหยุดเถอะ "
" ขอร้องข้าเป็นเหมือนกันรึ เด็กอวดดีแบบเจ้าจะมาขอความเห็นใจอะไร ดูดีๆเจ้าก็สวยทีเดียว
คนตระกูลคาเอเดะเจ้ารับเชื้อสายมาเต็มๆเลยนี่ " ว่าพลางทรงใช้ฝ่าพระหัตถ์ลูบไล้เส้นผมของเจ้าชายน้อย
" มันไม่เหมะสม ท่านเป็นกษัตริย์ไม่ใช่รึ "
" เจ้าเป็นเชลยศึกของข้าในตอนนี้ ข้าจะทำอะไรกับเจ้า..มีสิทธิบ่นด้วยเรอะนี่เป็นเรื่องธรรมดาข้าเป็นกษัตริย์และเชลยของข้าก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์
ถ้าข้าปล่อยเจ้าให้รอดไปหาพี่ชายเจ้าเล่ห์ของเจ้าได้ นั่นล่ะผิด "
" ท่านรังเกียจข้าไม่ใช่รึ จะคืนคำรึยังไงกัน "
" ข้าเกลียดเจ้า แต่ไม่ใช่รังเกียจ "
"
แต่ข้ารังเกียจ คนอย่างท่านก็เหมือนสัตว์ป่า เป็นเดรัจฉานที่ฆ่าคนทำร้ายคนได้อย่างไม่ต้องอาศัยความคิดแม้ชั่วครู่ชั่วยามเสียด้วยซ้ำ
"
" พี่เจ้าก็เหมือนกันนั่นล่ะ " น้ำเสียงของกษัตริย์เย็นเยียบขึ้นทันที
" ไม่เหมือน "
" พี่เจ้าอาจจะไม่ให้มือตัวเองเปื้อนเลือด แต่ก็ใช้กษัตริย์ไทฟุให้ฆ่าคนให้
"
" ถ้าท่านไม่รุกรานเรา ท่านพี่ข้าก็ไม่ต้องทำเช่นนั้น คนอย่างท่านมันไร้ความรู้สึก
ไร้สามัญสำนึก "
" ไม่สบอารมณ์เลย เด็กไม่รู้จักโลกอย่างเจ้ามาว่าข้าแบบนี้ พนันกันไหมล่ะ
พี่ชายคนซื่อของเจ้าน่ะที่จริงเจ้าเล่ห์ซะยิ่งกว่าใคร ไม่งั้นคงพาตาแก่นั่นมานี่ไม่ได้หรอก
ข้าจะสอนเจ้านะว่า คนน่ะมันซ่อนธาตุแท้กันได้ แต่พอสบโอกาสไอ้สิ่งที่ซ่อนไว้น่ะมันก็เผยออกมาหมดนั่นล่ะ
เจ้าก็เหมือนกันเจ้าซ่อนอะไรเอาไว้ "
เจ้าชายทัตสึมะรู้สึกหงุดหงิดกับวาจาที่เหยียดหยามของกษัตริย์คู่กรณี
แต่คราวนี้พระองค์กลับนิ่งเงียบอย่างที่ตัวพระองค์เองก็ไม่ทรงทราบสาเหตุ ท่านพี่คนนั้นน่ะรึจะเปลี่ยนไป ชายคนนี้โกหกใช่มั้ย
ปีศาจน่ะโกหกได้ทุกอย่างนั่นล่ะ ใช่
..นี่เป็นเรื่องไม่จริง
" เอาล่ะ ถ้าหมดเรื่องพูดแล้ว เรามาเริ่มเรื่องของเรากันดีกว่า "
" อย่านะ .! " เจ้าชายทัตสึมะผลักกษัตริย์ชินบุออกเต็มแรง ทันทีที่ทรงเป็นอิสระก็วิ่งออกไปที่สวน เป็นเวลากว่า 2 ยาม
บรรยากาศรอบด้านมืดสนิท มีเพียงเสียงจั้กจั่นที่ร้องอยู่
.นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าชายน้อยจะฟังเสียงจั้กจั่นอยู่หรอก
" ข้าขี้เกียจเล่นซ่อนหากับเจ้าหรอกนะ " กษัตริย์ตะโกน ในขณะที่เจ้าชายหลบอยู่หลังพุ่มไม้ เสียงหัวใจของพระองค์เต้นระทึก
เสียงฝีเท้าของกษัตริย์ใกล้เข้ามา ราวกับเสือที่จ้องตะครุบเหยื่อ นี่ไม่ใช่การเล่นซ่อนหาอย่างที่เคยเมื่อวัยเยาว์ แต่เป็นการหลบซ่อน
ถ้าทรงถูกพบ . ทรงรู้สึกเหมือนถูกกระชากออกจากพุ่มไม้อย่างแรง ใบหน้าของกษัตริย์ที่ทอดเงาใต้แสงจันทร์นั้นน่ากลัว น่าเกรงขาม
ดวงตาถมึงทึงที่จ้องลงมาราวกับมีความแค้นสุมทรวงมาแต่ชาติปางก่อน
" ปล่อยข้า " เจ้าชายร้อง แต่กษัตริย์ไม่ฟังเสียง ทรงดึงข้อมือขวาของเจ้าชายและฉุดกระชากลากเจ้าชายไปตามพื้นดิน
ขาของเจ้าชายครูดไปกับพื้นดิน ทั้งแสบ ทั้งเจ็บปวด ข้อมือที่ถูกบีบนั้นเจ็บจนแทบจะกรรแสงออกมา
" ข้าขอร้อง ปล่อยข้าเถอะ " น้ำเสียงของเจ้าชายเศร้าสลดและเริ่มแสดงถึงความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
แต่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะแสดงความสงสาร
" ไร้สาระ ข้าเหนื่อยแล้วก็หงุดหงิดเต็มทีแล้ว ข้าต้องการพักผ่อน .เข้าใจมั้ย จะลุกเดินเองหรือจะให้ข้าลากเจ้า
"น้ำเสียงของกษัตริย์ชินบุกึ่งขู่เข็ญ กึ่งเหนื่อยหน่าย พระองค์ปล่อยมือออกจากข้อมือของเจ้าชาย
ทรงหันกลับมาก้มลงมองพระพักตร์ซีดเผือดของเจ้าชายที่น่าสังเวชอีกครั้ง เจ้าชาย
ทัตสึมะกรรแสงอย่างโศกเศร้าออกมา หยาดน้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงพระเนตรทั้งคู่บ่งบอกถึงความเคืองแค้น ปวดร้าว
ความหวาดหวั่นแสดงออกมาอย่างชัดเจน เป็นครั้งแรกที่กษัตริย์ชินบุสังเกตเห็นบางอย่าง เจ้าชายทัตสึมะยังคงเยาว์อยู่มาก
ลำแขนที่ทรงบีบเมื่อครู่เล็กและเปราะบาง ใบหน้าที่ชุ่มโชกไปด้วยน้ำตา ชวนเวทนายิ่งนัก เป็นเด็กที่งดงาม
เป็นตุ๊กตาที่ควรค่าแก่การจ่ายเพื่อเชยชม
" เจ้าไม่ควรที่จะแค้นเคืองข้าเลย ข้าชื่นชมความอดทนของเจ้าตลอดเวลากว่า
1 เดือนนี่ แต่เจ้าควรจะรู้ว่าไม่มีอะไรที่มันง่ายดังที่คิด ถ้าจะแค้น แค้นพี่เจ้า
คนที่ทิ้งเจ้าไว้นี่ เป็นเจ้าชายตัวรองบ่อน เจ้าคิดว่าพี่เจ้าหวังให้เจ้าพยุงสถานการณ์งั้นรึ
ไม่เลย
เขาต้องการถ่วงเวลา เขาไม่กังวลว่าเจ้าจะเป็นตายร้ายดียังไง จะถูกข้าฆ่าทิ้งหรือเหยียดหยาม
เรื่องคืนนี้มันเป็นความผิดของเจ้า ผิดที่โง่เชื่อคนอื่นจนเกินไป "
" ท่านโกหก " เจ้าชายน้อยตะโกน
" ถ้าข้าเป็นเจ้า จะต้องดัดหลังพี่เจ้าที่หนีไปซบอกกษัตริย์ไทฟุ ผูกสัมพันธ์กับข้าสิ
แล้วเจ้าจะได้เป็นผู้ครองแคว้น ไม่ต้องเป็นตัวรองบ่อนของใคร ถึงจะโง่แค่ไหนก็น่าจะเข้าใจที่ข้าพูดหรอกนะ
"
เจ้าชายทัตสึมะไม่ตอบ ทรงนิ่งเงียบอยู่นานราวกับกำลังครุ่นคิด แน่นอนว่าฝ่ายกษัตริย์ย่อมคาดหวังในชัยชนะจากน้ำคำของพระองค์
เด็กแบบนี้ไม่มีใจที่จะเข้มแข็งหรือต่อสู้นักหรอก ทรงคิด
" มา ไปกับข้า ข้าคงไม่ต้องลากเจ้าไปอีกหรอกนะ " กษัตริย์ยืนมือขวาออกมา
เจ้าชายน้อยเองก็ยื่นมือซ้ายออก
" โอ๊ย! "
เจ้าชายกัดเข้าที่นิ้วก้อยของกษัตริย์ชินบุอย่างแรง ด้วยความตกใจกษัตริย์ชินบุพยายามสะบัดเจ้าชายออก อีกฝ่ายยังคงกัดไม่ยอมปล่อย
เจ้าชายทรงรู้สึกว่ามีกลิ่นคาวเลือดอยู่ที่ริมฝีปาก เสียงตะโกนด้วยความโมโหขององค์กษัตริย์ดังอยู่ไกลออกไป
ทุกอย่างที่พระองค์รับรู้ในขณะนี้มีเพียงเสียงหัวใจของพระองค์เอง ในที่สุดทรงเหวี่ยงเจ้าชายทัตสึมะออกไป
เจ้าชายทัตสึมะไม่แม้แต่หันกลับมามองเบื้องหลัง พระองค์ออกวิ่งไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ฝ่าไปในความมืดมิดเบื้องหน้า
ในห้วงของความเป็นและความตาย
.........................
" เราไม่ได้ตกลงว่าจะเริ่มการโจมตีในคืนนี้ " เจ้าชายทาคาสึระตรัส
" แผนการรบเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงกันได้ ท่านก็ทราบดี "
บุรุษวัยกลางคนในเครื่องฉลององค์เต็มยศเช่นนักรบตรัสตอบ นางกำนัล 3-4 คนถวายบังคมลาแล้วเดินออกจากห้องไป
"
จะเสด็จไปบัญชาการรบเองรึ ไม่เคยทราบมาก่อน "
" ก็แค่เป็นพิธี ว่าแต่ท่าน จะไปด้วยกันไหม อยากเด็ดหัวศัตรูที่น่าชังนั่นรึเปล่า " ทรงตรัสถามเจ้าชายที่ยืนนิ่งเงียบอยู่
ดวงตาที่มองกลับมานั้นแฝงแววครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ไม่ใช่ตาที่ใสแวววาว คม หรือชวนมองนัก แต่มีเสน่ห์อย่างประหลาด
คงจะเป็นเจ้าสิ่งนั้นกระมังที่ทำให้กษัตริย์ไทฟุต้องดั้นด้นมาถึงเรียวโฮ
" ตกลงว่าแผนการณ์ของท่านเป็นเช่นไรล่ะ ข้าไม่คิดจะก้าวก่ายงานของท่านสำหรับสนามรบข้าคิดว่าข้าพิจารณาตนเองว่าอยู่ในสถานะใดได้
แต่ในฐานะที่เราเป็นพันธมิตร การที่ข้าจะไม่รู้อะไรเลยย่อมกลายเป็นบุคคลที่ไร้ความรับผิดชอบเป็นแน่
" ทาคาสึระยิ้มให้ เพียงแต่ฉีกรอยยิ้มที่มุม
ริมฝีปากก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะต้องเลี่ยงที่จะมองพระพักตร์ของพระองค์
" เราจะโจมตีปราสาทเป็นหลัก เข้าล้อมและเผา คงจะเสียหายบ้างเล็กน้อย พวกเกไดคงจะต้องอพยพออกมานอกปราสาท
จะเข้าทางของเรา "
กษัตริย์ไทฟุทรงสรวลเบาๆก่อนจะตรัสต่อไป " พอใจไหม "
" อะไร ."
" ข้าเอาใจท่านถึงเพียงนี้เชียวนะ เดิมพันกับความคิดของท่าน"
" อะไรที่ท่านเห็นว่าไม่ดี ไม่ได้ประโยชน์ท่านก็คงไม่ทำแน่ .นี่จึงไม่สมควรเป็นหนี้บุญคุณหรอกกษัตริย์ไทฟุแห่งโฮซึมะน้ำพระทัยกว้างขวางเพียงใด ตัวข้าซาบซึ้งอย่างยิ่งทีเดียว "
เจ้าชายทาคาสึระตรัสตอบพลางโค้งคำนับน้อยๆ แต่น้ำเสียงของพระองค์ไม่ได้ชวนให้อีกฝ่ายตีความตามรูปประโยคนักหรอก
" ไม่เสียดายบ้างรึ " องค์กษัตริย์ตรัสถาม
" อะไร
ถ้าหมายถึงปราสาท น่าจะทรงทราบว่าไม่มีสิ่งใดที่ทำให้ข้ารู้สึกแย่ไปกว่าฐานะปัจจุบันนี้อีกแล้ว"
" งั้นขอให้ท่านอยู่ที่นี่เงียบๆ จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ..แน่ใจนะว่าอนุญาตให้ข้าทำทุกอย่างได้ตามใจ ไม่มีอะไรหรือใครที่ท่านต้องการในนั้น "
กษัตริย์ตรัสถามก่อนจะเสด็จออกไป เจ้าชายเพียงแต่ยิ้มให้เท่านั้น สำหรับกษัตริย์ฝ่ายพันธมิตร ช่างเป็นรอยยิ้มที่เยียบเย็น
ไร้ซึ่งความวิตกกังวลใดๆ ก็ควรแก่การได้ชื่อว่าผู้ครองแคว้นอยู่หรอก แต่กับเด็กหนุ่มอายุเพียงนี้
ออกจะเกินไปหน่อย
........................................
เจ้าชายทาคาสึระเดินวนอยู่รอบๆค่ายทหาร ทหารส่วนมากออกไปประจำการ
ค่ายนี้แม้จะยังมีทหารคุ้มกันอยู่บ้างแต่ก็ถือว่าร้างไปมากเมื่อเทียบกับเมื่อชั่วยามที่ผ่านมา เจ้าชายไม่ได้เสวนากับทหารของโฮซึมะนัก
ทรงยิ้มให้และไต่ถามสารทุกข์สุขดิบตามธรรมเนียม แต่แม้ว่านั่นจะเป็นธรรมเนียม ด้วยอากัปกิริยาที่สวยงามของพระองค์
ก็ราวกับทรงจริงใจเสียเต็มประดา
ทาคาสึระเดินอ้อมไปด้านหลังค่ายที่มียามเฝ้าอยู่น้อยและกำลังอยู่ในช่วงผลัดเวรบริเวณนั้นจึงค่อนข้างสับสนเล็กน้อย
" คาเสะ มาแล้วใช่มั้ย "
ฉับพลันร่างร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ราวกับหายตัว .เจ้าชายผงะไปชั่วขณะ
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะพยายามทำตัวให้ชินกับการเคลื่อนไหวของ..คาเสะ
" ท่านก็ตกใจเป็นเหมือนกันนี่นะ " นินจาอดีตคนทรยศล้อเลียน
"
สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง น้องข้า ทัตสึมะเป็นยังไงบ้าง "
..น้ำเสียงออกจะประหม่าเล็กน้อย
" ข่าวดีหรือข่าวร้าย ท่านสนใจฟังข่าวไหน "
" ข้าไม่สนใจว่าข่าวไหน ทัตสึมะยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย "
" ถ้าตอนนี้ล่ะใช่ พวกในวังลือกันให้แซ่ดว่าชั่วยามก่อนเจ้าชายหนีออกไปจากวัง
..
"
" ทัตสึมะไม่รู้ว่าจะมีการโจมตี ทำไมเขาถึงหนีออกไป"
" น่าจะเดาออก ถ้าเห็นสายตาของคนพวกนั้นตอนที่พูดถึงเจ้าชายทัตสึมะ กษัตริย์ชินบุพยายามเอาชนะท่าน
แต่ดูเหมือนเจ้าชายน้อยจะไม่เล่นด้วย "
" ชั่วช้า! พาข้าไปจากที่นี่ที ข้าต้องช่วยทัตสึมะ " เจ้าชายทาคาสึระกึ่งขอร้องกึ่งออกคำสั่ง ก็ดวงตาคู่เดียวกับที่มองเห็นว่าเลือดเย็นนั่นล่ะ
ตอนนี้ราวกลับดูอ่อนไปถนัดตา
" มันอันตราย บอกทางข้ามาเถอะ ถ้าเป็นบุคคลที่ท่านรักล่ะก็ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็จะปกป้องคนผู้นั้นด้วยชีวิตแน่นอน
"
"
.นั่นน้องข้า ญาติคนสุดท้ายของข้า ไปด้วยกันเถอะคาเสะ ข้าไม่มั่นใจหรอกว่าปราศจากเจ้าข้าจะไปได้รอด
แต่ก็..ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาวที่จะปล่อยเจ้ากับทัตสึมะไปได้ "
" ก็นึกอยู่แล้วว่าต้องพูดแบบนี้ ข้าได้ยินที่ท่านพูดกับกษัตริย์ไทฟุ "
" คิดว่าข้าชั่วร้ายขนาดนั้น " เจ้าชายหัวเราะ
" ข้าไม่สนใจหรอก ข้าแค่ต้องการรู้ว่าควรจะปฏิบัติตนอย่างไรเท่านั้น ถ้าท่านไม่บอก
ข้ารับใช้คนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ "
" ไปกันเถอะ "
ไปต่อ