Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!

 

สิ่งรอบตัวฉัน ครอบครัวของฉัน และ…ตัวฉันเอง


ตอนที่ 1 …..1 วันของสุ


คงมีคนหลายคนที่ชอบบอกกับคุณว่าจงเป็นแบบนั้น จงเป็นแบบนี้ สิ่งนั้นแหละดี สิ่งนี้ล่ะใช่ แต่กลับไม่มีใครบอกเลยว่า

ให้ลองพิจารณาและเลือกทุกอย่างด้วยความกล้าหาญ เต็มไปด้วยคนที่ชี้นำทางชีวิตเรา

แต่กลับไม่มีใครเลยที่กล้าพูดออกมาตรงๆว่า เราต้องรับผิดชอบชีวิตของตนเอง

พ่อแม่ไม่ได้อยู่กับเราไปชั่วชีวิต ความสะดวกสบาย ความสุขไม่ใช่สิ่งที่จีรังยั่งยืน

มนุษย์เราเลือกที่จะเดินไปบนเส้นทางที่ยากลำบากอยู่ตลอดชีวิต ไม่มีทางไหนสบาย แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า

ทางที่ยากลำบากทางไหนจึงจะเป็นทางที่เราเต็มใจจะเดินทางไปมากที่สุด

ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนเก็บกระเป๋าและเดินทางไปในสถานที่ที่เขาไม่ชอบใจ

ไม่มีนักลงทุนคนไหนซื้อหุ้นที่เขาคิดว่าขาดทุน มนุษย์เราก็เหมือนกันนั่นล่ะ

จะต้องออกเดินทางเราก็ควรจะต้องเลือกเส้นทางที่เราชอบที่สุด แม้ว่าคนอื่นอาจจะเห็นว่ามันวิบากก็เถอะ

และที่ที่เราถือเป็นจุดหมายก็ต้องน่าสนใจที่สุดในสายตาของเราด้วย

นักลงทุนคงไม่นั่งรอคอยหุ้นที่ไร้ค่า หมดอนาคตสำหรับตัวเขาหรอก

เขารอคอย เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งนั้นมีค่าสำหรับตัวเขาเองต่างหาก


แล้วสำหรับฉันล่ะ ……………..

………………


อะไรเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับฉัน


ฉันอยากทำอะไรรึ


ฉันมุ่งหวังอะไรอยู่


รู้สึกอายเหลือเกิน

.........................




" วันนี้มีใครจะกลับดึกบ้าง " พี่ชายถามขณะที่กำลังหาอะไหล่รถอยู่ พี่สาวนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะ

นากำลังซักเสื้ออยู่หลังบ้าน ลาจากำลังพิมพ์งานอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ และตัวฉันกำลังเตรียมหนังสือเรียน


" วันนี้ไม่ต้องอยู่เวร คนอื่นล่ะ " พี่สาวบอก

" อยากโดดมากกว่าน้า……." ลาจาย้อน พลางกดปริ้นงานจากคอมฯ

เขาบิดขี้เกียจก่อนที่หาวออกมาฟอดใหญ่ แสดงว่าเมื่อคืนเล่นอินเตอร์เนทมากจนไม่ได้นอน


" จะแวะไปดูหนังสือก่อนแล้วค่อยกลับ คงเลทซักชั่วโมง " ฉันบอก พลางหยิบรองเท้านักเรียนมาสวม

ฉันไม่คิดจะรอไปพร้อมกับพวกนี้หรอก ลาจาคงจะสายอีกแน่ ส่วนนาก็คงไปถึงเฉียดฉิวตามเดิม


" เฮ้!จะไปแล้วเรอะ "


" นึกอยากไปเร็วขึ้นมาบ้างรึไง " ฉันถาม ลาจายิ้มเยาะน้อยๆ ท่าทางไม่ยี่หระ


" ไม่มีความจำเป็น ฝากซื้อของหน่อยสิ "


" อะไรล่ะ นายใช้ชั่วโมงเนทหมดแล้วสิท่า " 1000 ชั่วโมง พ่อคุณใช้ได้ยังไงหมดภายในสองเดือน


" เออน่า….."


" ถึงไม่ซื้อก็คงมีคนเอามาให้อยู่ดี จะเสียเงินไปทำไม " ตอนนี้ฉันลดเสียงเบาลงเล็กน้อย

ขืนพี่ชายได้ยินบ้านแตกแน่ๆ


" ถ้ามาแบบปกติก็คงแล้วไปหรอก …..นี่มาแต่ล่ะครั้ง…..เฮ้อ…" ลาจาถอนใจยาว ท่าทางเบื่อเอาซะมากๆ

นั่นสินะ คนคนนั้นมาทีไร ก่อปัญหาได้ทุกที จะว่าไปไม่ได้เห็นหน้ามาเกือบเดือนแล้ว

คงหาของขวัญที่จะไม่ถูกด่าไม่ได้ล่ะมั้ง


" นี่นายแทบจะเอาคอมพิวเตอร์เป็นแฟนแล้วนะ "


" ถ้าได้ว่าง่ายๆแบบนั้นก็ดีสินะ เอ้านี่บัตร ATM วานหน่อยน่าคุณผู้หญิง"


" โอ้โฮ จะประชดกันรึไง…..โอเค เจอกันตอนเย็น ไปนะคะพี่ชาย พี่สาว "


" เจอกันตอนเย็น " สามคนนั่นพูดพร้อมกัน ฉันเดินออกมาจากบ้าน อากาศตอนเช้านี่ยังคงใช้ได้

ภาวนาให้วันนี้เป็นวันที่ดีเถอะ เมื่อคืนนากลับถึงบ้าน 5 ทุ่ม โชว์จบตอนสี่ทุ่มกว่ามั้ง

ตานิรัตน์มาส่งอีกตามเคย ช่างเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ว่างเสียจริง แต่ก็ดันสอบผ่านได้ดีทุกครั้ง

ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นความรักที่เป็นไปได้ ก็ยังรนหาที่ นาก็ด้วย

หมอนี่ก็ผิดที่ไม่พูดอะไรเลยปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจไปเอง แต่ก็ล่ะน้า

รอบตัวฉันก็มีแต่คนเข้าใจยากแบบนี้ทั้งนั้น


แย่จริง……


" สวัสดีสุ " นักศึกษาหนุ่มขับรถเก๋งป้ายแดงมาจอดข้างๆฉัน


" หวัดดี พี่…คงไม่ได้จะไปหานาที่บ้านหรอกนะ แต่งชุดนักศึกษามานี่นา " ฉันถาม


" เธอก็รู้ว่าเช้าๆแบบนี้เขาไม่เคยให้พี่ไปส่งเลยนะ "


" งั้นลมอะไรหอบมาล่ะคะ ฉันไม่คิดว่านอกจากนาแล้วพี่จะทนรอใครได้อีก"


" ขึ้นรถสิจะไปส่งที่โรงเรียน มีเรื่องจะคุยด้วย "


" อากาศดี คุยก็คุยตรงนี้ล่ะ "


" เมื่อไหร่จะปรับทัศนะคติกับพี่ซะทีนะ "


" พี่ นั่นล่ะที่ไม่ยอมรับความจริง เลิกกับนาซะเถอะก็เห็นอยู่ว่าในสายตาของนานอกจากการเต้นแล้วไม่มีใครอยู่ในสายตาเลย "


" พี่ไม่ได้รักใครแบบเล่นๆนะ การสารภาพรักกับเด็กผู้ชายอายุ 15 มันต้องใช้ความกล้ามากรู้มั้ย

และรายนั้นก็ดูเหมือน….."


" ไม่ได้สนใจพี่เลย เดทอาทิตย์ที่แล้วคือการไปรับจ๊อบขัดส้วมสาธารณะกับนา

ก็เห็นแล้วว่าพี่น่ะไม่ได้มีรสนิยมเดียวกับเพื่อนฉันเลย "


" พี่จะทนทุกอย่างนั่นล่ะ ไม่ใช่พี่คนเดียวซักหน่อยที่ต้องทนแบบนี้"


" อย่าพูดถึงคนชั่วร้ายพวกนั้นให้ได้ยินเลย แสลงหูแต่เช้า " ฉันเดินนำหน้าไป

ดูเหมือนพี่นิรัตน์จะไม่ได้ขับรถตามมา ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพยายามจะปรับความเข้าใจกับฉัน

แต่มันก็เปล่าประโยชน์ เพื่อนฉันยุ่งจะตายไป ต้องมารบกับคนแบบนี้อีก วันนี้ไม่ใช่วันดีซะแล้วล่ะ

 

" มันเป็นเวรทำความสะอาดของเธอ ทำไมฉันจะต้องแลกเวรกับเธอด้วยล่ะ "

ฉันพูดกับเพื่อนที่เข้ามาขอแลกเวรทำความสะอาดเย็นนี้ เห็นมั้ยล่ะว่าเช้านี้ไม่ใช่เช้าที่ดี


" ถือว่าเป็นเพื่อน ช่วยกันหน่อยน่า ครั้งที่แล้วเธอยังยอมแลกกับนุชเลย "


" นุชบอกล่วงหน้าตั้งอาทิตย์ เธอบอกฉันไม่ถึง 24 ชั่วโมงด้วยซ้ำ "


" เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่รึไง "


" อ้อ….คำว่าเพื่อนนี่ประโยชน์หลากหลายดีแท้ ใช้เอาเปรียบคนได้อย่างไม่แสลงหู "


" ยัยคนเห็นแก่ตัว "หล่อนตะโกนใส่หน้าฉัน


" พูดแบบนี้เข้าท่ากว่าเยอะ " อารีหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เดี๋ยวคงจะเอาไปโพธนากันทั่วว่า สุใจร้าย แล้งน้ำใจ นังยักษ์ ฯลฯ

อา….ฟังจนชินแล้วล่ะ ก็เป็นการเรียนที่ปกติ คาบแรก กฎหมาย คาบสองวรรณคดี คาบที่สาม ภาษาไทย คาบที่สี่ภาษาอังกฤษ คาบที่ห้า

..พัก คนอื่นๆเดินลงไปทานอาหารที่โรงอาหารกันเร็ว ส่วนฉันยังนั่งอ้อยสร้อยอยู่ วันนี้ก็เป็นวันที่น่าเบื่ออย่างทุกวันจริงๆด้วย

ชีวิตเด็กนักเรียนชั้นม.5 ก็แค่นี้เรอะ


" ขอคุยด้วยหน่อย " ฉันหันไปมองเจ้าของเสียง…พี่สาว ไม่สิ อาจารย์


" เช็คตารางเรียนแล้วสินะคะ "


" ก็แค่ไม่อยากให้คนอื่นฟังด้วย ดีที่เป็นเวลาพัก "


" ถ้าอยากคุยก็น่าจะไปพูดกันที่อื่น "


" ก็เพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน…..เธอไปพูดอะไรกับใครมารึเปล่า อย่างที่เคยทำเมื่อก่อนน่ะ " น้ำเสียงพี่ท่าทางจะสงสัยอยู่ไม่น้อย


" แล้วคิดว่าทำรึเปล่าล่ะ คราวนี้อะไรอีก ใครเขายกพวกไปถล่มห้องปกครองรึไง…จะว่าไปผ.ช.พรรค์นั้นก็สมควรอยู่ "


" สุ…."


" อยากเทศนาอะไรก็เชิญเถอะ ฉันไม่ได้ทำ อยู่เฉยอย่างสงบเสงี่ยมอย่างที่พี่ต้องการ แม้ว่าจะนึกอยากเล่นงานจนตัวสั่นก็เถอะ

เพราะฉะนั้นใครจะตีกับใคร ใครจะลุกขึ้นประท้วงอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน " มันน่าโมโหนัก

ตั้งแต่ย้ายโรงเรียนมาฉันยุให้ประธานนักเรียน ขอให้นักเรียนหยุดเรียนประท้วงยัยผ.ช.ปกครองคนใหม่แค่ครั้งเดียวเองนะ

ที่มันกร้อนผมนักเรียนหญิงประจานน่ะ แต่หลังจากนั้นเพราะพี่นั่นล่ะ ทำให้ฉันต้องหยุด ทั้งที่ทำมาตลอดแท้ๆ พ่อเองก็เถอะ

เชื่อพี่สาวจนขนาดฝากฉันไว้กับเธอ นั่นสินะก็ดูเป็นอาจารย์ที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ การศึกษาดี ชาติตระกูลดี

นิสัยดี….แต่พ่อก็ไม่มีทางรู้ตัวจริงของเธอได้หรอก


" งั้นก็ดีแล้ว เธอรักษาสัญญา…ว่าแต่เดือนนี้เขียนจดหมายไปหาคุณพ่อรึยัง " พี่สาวถาม


" ไม่รู้ไปวาดรูปอยู่มุมไหนของประเทศ คงลืมไปแล้วล่ะว่าเดือนที่แล้วยังไม่ได้ส่งที่อยู่ใหม่มาให้ "


" เหงารึเปล่า "


" มีเรื่องที่ต้องทำเยอะแยะ เดี๋ยวจะหมดเวลาพักซะก่อน" ฉันลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไปก่อน ดูจะไม่มีมารยาทนัก

แต่คนเราเวลาเลือดขึ้นหน้า ใครจะมารยาทงามอยู่ได้ ….มีเรื่องที่ต้องทำมากมาย เรื่องเรียนก็เยอะแยะ งานกิจกรรม

งานพิเศษ……..เรื่องเพื่อน เรื่องอาจารย์……มีแค่นั้นเองเรอะ

.....................


ฉันมองหาหนังสือที่อยากอ่าน มองแล้วก็มอง แต่กลับไม่รู้สึกอยากซื้อ ดูเหมือนจะน่าเบื่อไปเสียหมด

ฉันควรจะชอบอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่รึ ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันแทบจะกระโจนเข้าหาเลย หนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นเบื้องต้น

ประวัติบุคคลสำคัญ ข้อคิดคำคม…แต่นี่อะไร ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ มันเหนื่อยหน่าย เฉื่อยชา ไม่กระปรี้กระเปร่าเลย

ราวกับว่านี่ไม่ใช่ตัวฉัน รึว่าจริงๆ ฉันจะเป็นคนไม่ได้เรื่อง จริงๆฉันอาจจะขี้เกียจมากก็ได้

ในที่สุดฉันก็ไม่ได้ซื้อหนังสือเล่มไหนกลับไปเลย นอกจากอินเตอร์เนท 1000 ชั่วโมง ผู้คนเยอะมากอาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์

ฉันไม่อยากรีบกลับบ้านนักหรอก รู้สึกเบื่อ…แต่เบื่ออะไรก็ไม่รู้ ถ้าเป็นนาล่ะก็หลังเลิกเรียนเขาจะต้องรีบไปที่คลับที่เขาทำงานอยู่

เพื่อเตรียมการแสดงโชว์ช่วงเย็น เราก็รู้กันดีว่าการเป็นนักเต้นสำคัญกับเขามากแค่ไหน ทั้งที่ต้องเรียน เป็นนักเรียนดีเด่น

แต่ก็ยอมผิดกฎโรงเรียนมาทำงานในที่ที่ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 เข้าไปแบบนั้น ราวกับว่าเขาไม่สนใจอนาคตเลย

รึเพราะเขาเลือกอนาคตแล้วก็ไม่รู้สิ


ลาจาจะรีบกลับบ้านทันที เขาเบื่อโรงเรียนแค่ยอมทำตามพี่สาวกับพี่ชายขอร้องเท่านั้น ครึ่งปีก่อนเขาแฮกซ์ข้อมูลของนาซ่าหลุดออกมา

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตเขาวุ่นวายจนถึงตอนนี้นั่นล่ะ แต่ก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะสนุกกับชีวิตดี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนท แฮกเกอร์

คำศัพท์ 3 คำ นี้ล่ะที่ค้ำจุนชีวิตของเขาไว้…ไม่สิ ฉันควรจะเติมคำว่าเงินเข้าไปด้วย ไอศกรีมโซดาถ้วยที่ 2 หมดไปแล้ว

และตอนนี้กำลังทานไอศกรีมแคนตาลูปอยู่

 


" วันนี้กินจุนี่นา แสดงว่าโกรธอะไรมา " เราเจอกันโดยบังเอิญอีกวันหนึ่งแล้ว เขานั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามกับฉัน สั่งไอศกรีมชาเขียว 2 ก้อน

เหมือนเดิมทุกวัน วันนี้เขาหอบหนังสือมาด้วย2-3เล่ม กระเป๋าเป้สีเทาประทับตราโรงเรียนยังคงดูตุงผิดปกติเช่นเดิม


" เป็นไงมาไงล่ะ " ฉันถาม


" ไม่ได้ตั้งใจมาหรอก นัดคนเอาไว้น่ะ ท่าทางดวงเราจะสมพงษ์กันดีนี่ " เขาหัวเราะ

ฉันมองกองหนังสือของเขาและอ่านชื่อดังๆอย่างจงใจ


" สามก๊ก , คู่มือรัฐประหาร , สงครามโลกครั้งที่2 , ….… …พ่อนักเรียนดีเด่นอ่านหนังสือซะ ภาพพจน์เสียหายหมด "


" คงแก่เรียนออกขนาดนี้น่ะนะ หนังสืออ่านประกอบบทเรียนไง " เขาตอบพลางใช้ช้อนไอศกรีมแตะที่ปลายลิ้น


" โฮ่ ! คนอย่างเธอมีเจตนาดีกับเขาด้วยนี่ ถามจริงว่าคิดอะไรอยู่จ๊ะ " เสียงของฉันกึ่งล้อเลียน

ตอนนี้สายตาของเขาที่เหลือบมองมาดูจะเจ้าเล่ห์ยังไงพิกล รู้สึกอย่างกับว่าลูกสุนัขน่ารักๆถอดคราบออกกลายเป็นหมาจิ้งจอกงั้นล่ะ


" นักเรียนดีเด่นกับคนหัวอ่อนมันคนละความหมายนี่นะ ฉันเป็นคนดี แต่ไม่ใช่เด็กดีซะหน่อย….เข้าใจกันไปเองแท้ๆ " เขาหัวเราะอีก


" พวกชอบสร้างภาพ " ฉันบอก


" เขาเรียกว่าทันสมัย เผื่อจะมีใครรับฉันเข้าพรรคบ้างไง "


" เจอนิสัยอย่างเธอคงถอยกันกราวรูด "


เราสนทนากันอยู่นานพอควร เสียงรู้สึกว่าจะดังไม่น้อย หลายครั้งที่แอบเห็นคนอื่นมองมาด้วยสายตาพิลึก …


" พวกเขากำลังคิดว่าเราเป็นเด็กหนุ่มสาวใจแตกแน่ะ "


" รู้อยู่แล้วล่ะ ใครจะคิดยังไงก็ช่างเถอะ "ฉันตอบ


" ดูสีหน้าไม่ดี ว่ากันว่าคนที่หน้าหม่นหมองทั้งวันนี่มีสาเหตุมาจากตอนเช้าที่วุ่นวายนะ "


" …………ถ้ารู้สึกว่าทุกอย่างน่าเบื่อก็คงใช่ คน งาน จิปาถะ"


" เรื่องปกติ ฉันไม่เห็นว่าในวันหนึ่งๆ เราจะเจอคนที่พอใจซักกี่คน….บางที…นานๆอาจจะเจอซักครั้ง "

เสียของเขาดูจะอ้อยอิ่งเนิบนาบลงเล็กน้อย


" งั้นจะทำยังไง หากเจอแต่คนที่ไม่ชอบ หรือเรื่องที่ไม่อยากรับฟังล่ะ ทั้งที่ไม่ต้องการแต่ก็ถูกดึงเข้าไป "


" ปล่อยไป "


" ง่ายจัง "


" ชีวิตก็เป็นแบบนี้ล่ะ การปล่อยไปตามน้ำเสียบ้างก็ดี การพยายามดิ้นรนบางทีก็ไม่ได้หมายถึงชัยชนะเสมอไป"


" คำพูดพวกนี้ออกมาจากปากเธอได้นะ "


" อย่างประชดสิ ฉันกำลังพูดเรื่องจริงนะ เธอฝืนน่ะ ฝืนที่จะดิ้นรนเหมือนหนูติดจั่น ไร้ค่า และเหนื่อยแรง "


" ที่หัวเราะยิ้มร่าทุกวันเพราะคิดแบบนี้รึ "


" เพราะไม่มีใครเศร้ากับฉันสักคน ไม่มีใครสนหรอกว่าฉันอยากพบใคร หรืออยากทำอะไร อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องวุ่นวายรึไม่

แต่ข้อสรุปก็คือ บางครั้งเราก็เป็นต้นเหตุของเรื่องที่เรารู้เห็นน้อยมาก "


" เขาเรียกว่าภาวะผู้นำ อย่างที่บอกว่าทุกเรื่องต้องมีคนรับผิดชอบ….เรากำลังหลงประเด็นกันใช่ไหม " ฉันหัวเราะออกมาบ้าง เมื่อคิดได

้ พูดกับหมอนี่ทีไรเป็นหลงทุกทีพับผ่าสิ


" พรุ่งนี้ก็จะดีขึ้นเอง มะรืนนี้อาจจะปวดหัวอีก แต่วันรุ่งขึ้นก็จะดีขึ้นเอง มันเป็นของมันอย่างนี้ล่ะ "


" อย่าหมดอาลัยตายอยากในชีวิตอย่างนั้นสิ " ฉันพูด ดูเหมือนฝ่ายนั้นเองก็มีเรื่องในใจเช่นกัน แต่ป่วยการที่จะพยายามถาม

เราต่างก็ไม่เคยถาม เขาส่วยหัวช้าๆ ดื่มน้ำในแก้ว แล้วก็ใช้ช้อนตักไอศกรีมครึ่งลูกเข้าปากในครั้งเดียว

ท่าทางของเขาบอกได้เลยว่ารู้สึก….เย็นน่ะสิ


" ฉันไปต่อได้ เธอก็ด้วยใช่ไหม " ฉันถามพลางใช้กระดาษทิชชู่เช็ดปากตนเอง เขาเงยหน้าขึ้นมองฉัน ยิ้มน้อยๆ

เป็นรอยยิ้มที่ต่างกับตอนแรกที่เขาเข้ามา


" สิ่งใดในโลกหล้า ล้วนได้มาด้วยมือเจ้า "


" …….. "


" ……… "


" ขาดวรรณศิลป์ " ฉันพูด แต่กลับรู้สึกตรงกันข้าม ที่ใจ ไม่ใช่ที่สมอง


ตอนนี้รู้สึกอยากอาหารอย่างบอกไม่ถูก และรู้สึกอยากอ่านหนังสือขึ้นมาด้วย แปลกดีนะ


" สงครามโลกครั้งที่ 2 สนใจมั้ย รึว่าอ่านมาหลายฉบับแล้ว " เขาส่งหนังสือให้ฉันพลางพยายามยัดอีกสองเล่มที่เหลือลงกระเป๋าเป้

ในนั้นมีหนังสือเล่มโตถูกยัดอยู่ก่อนแล้ว2-3เล่ม


" ดร.วิเชียร ยังเลย เล่มนี้ยังไม่เคย เป็นไงบ้าง "


" เขียนเอาแต่ใจไปหน่อย แต่ก็ได้รู้เรื่องของฝ่ายพันธมิตรดี เรื่องของการโจมตีฝรั่งเศสค่อนข้างละเอียด "


" พรุ่งนี้ฉันเอามาคืนได้มั้ย "


" มะรืนนี้เถอะ พรุ่งนี้มีนัด ประเดี๋ยวก็ต้องเจอบ่นหูชาแน่ คงจะบ่นอีกว่าตัวเองติดธุระมากมาย นักข่าวพร้อมจะกรูมาทุกเมื่อ

ทำไมฉันถึงทำตัวเหลวไหล ประมาณนี้ล่ะ " เขาหัวเราะพร้อมกับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แต่เรื่องที่เขาพูดจะหมายความว่ายังไง….ฉันไม่รู้หรอก


เราเดินไปคิดเงินที่เคาร์เตอร์ ไม่มีใครจ่ายให้ใคร ต่างคนต่างจ่าย แน่นอนอยู่แล้ว

ไม่ใช่ธุระเลยที่เราต้องออกเงินค่ากินให้คนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ เขาแบกเป้ไปขึ้นรถไฟฟ้า ส่วนฉันรอรถเมล์ที่ป้าย

เราต่างคนต่างไป แต่ก็รู้ว่ามะรืนนี้จะกลับมาพบกันอีก สำหรับฉันเพื่อคืนหนังสือ ส่วนเขา ….เพื่อรับของคืน


เมื่อกลับไปถึงบ้าน พี่สาวเพิ่งจะไล่ลาจาไปอาบน้ำ เสื้อนักเรียนของนากองทิ้งไว้ในตะกร้า เขาเพิ่งจะออกไป

พี่ชายเตรียมตั้งโต๊ะอาหารแล้ว


" พี่เขากำลังเทอาหารอุ่นอยู่ ไปช่วยหน่อยสิ " พี่ชายบอก


" ค่า " ฉันยิ้มรับแล้วเดินเข้าไปในครัว พี่สาวเปลี่ยนยูริฟอร์มเป็นเสื้อยืดธรรมดาแล้ว เธอกำลังเทอาหารถุงใส่จาน


" ไปไหนมา วันนี้กลับเย็น " พี่สาวถามเสียงเรียบ


" ยืมหนังสือค่ะ ขอให้เพื่อนเอามาให้ เรานัดเจอกันที่ศูนย์หนังสือ เลยคุยกันเพลินไปหน่อย "


" ชอบใจล่ะสิ เอ้า เอาเข้าเตาหน่อยสุ เมื้อกี้ลาจาเพิ่งกลับมา "


" คะ "


" มาพร้อมของขวัญกล่องเบ้อเริ่มเลยล่ะ "


" ตานั่น! "


" พี่ชายเขาโยนไว้ที่กองขยะสดแน่ะ เดี๋ยวคืนนี้เอาขึ้นไปให้ลาจาด้วยล่ะ โน๊ตบุ้คราคาขนาดนั้นใช่จะสมควรโยนทิ้งกันง่ายๆหรอกนะ "


" เดี๋ยวพี่ชายก็โกรธหรอก "


" อารมณ์แปรปรวน รายนั้นเคยดูของในกล่องซะที่ไหน เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าปริ้นเตอร์ที่ลาจาใช้ทุกวันมาจากไหน เด็กแท้ๆ "

พี่สาวหัวเราะ เธอไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องพวกนี้นัก มีแต่พี่ชายนั่นล่ะ


เราทานอาหารพร้อมหน้ากัน ช่วยกันล้างจานและเก็บโต๊ะ เก็บอาหารส่วนหนึ่งอุ่นไว้ให้นา

จากนั้นพี่ชายนอนดูโทรทัศน์พร้อมๆกับอ่านหนังสือรถ พี่สาวฟังโทรทัศน์พร้อมกับตรวจการบ้าน

ฉันนั่งอ่านหนังสือประวัติสงครามโลกครั้งที่สองอยู่ที่โซฟา ส่วนลาจาง่วนอยู่กับการหาข้อมูลจากอินเตอร์เนท

เราทุกคนกำลังรอโทรศัพท์จากนา………….


……………………………………………………………………………………..

กลับหน้าสารบัญ

ไปต่อ