บัดนี้ วันที่ ๒๔
เมษายน ๒๕๑๐ สำหรับพวกเรา
ได้ล่วงมาถึงเวลา ๕.๐๐ น.แล้ว
เป็นเวลาที่เรา
กำหนดกันไว้ว่า จะพูดจา
เรื่องใดเรื่องหนึ่งกัน
เป็นประจำวัน
วันนี้จะได้กล่าวถึงเรื่อง
ชาตินี้-ชาติหน้า, เนื่องจาก
เรื่องนี้เป็น เรื่องสำคัญ
แก่คนทุกคน
ในฐานะที่เป็นปัญหา,
และพวกธรรมฑูต ก็จำเป็น
ที่จะต้องสอน เรื่องนี้
นอกจาก จะเป็นเรื่อง
ที่จะถูกถามแล้ว
ยังเป็นเรื่อง
ที่จะถูกถามหรือไม่ถูกถาม
ก็ต้องสอนให้รู้จัก,
ให้เข้าใจ ในการปฏิบัติ
เกี่ยวกับเรื่องนี้
ที่แล้วมา ได้สังเกตเห็นว่า
ความเข้าใจผิด ในเรื่องนี้
มีอยู่มากทีเดียว,
เมื่อเข้าใจผิด
ก็ทำให้การปฏิบัติ
เกี่ยวกับเรื่องนี้
พลอยผิดไปด้วย หรือไปสนใจ
ในทาง หรือ ในแนวที่ผิดๆ.
การที่จะสันนิษฐาน
หรือ แม้แต่ตัดสินใจ ลงไปว่า
เรื่องใดผิด เรื่องใดถูก
นี้ก็มีปัญหา อยู่บางอย่าง,
คือ ถ้าเป็นเรื่อง ที่ไม่อาจ
จะเอามาแสดงกันได้
โดยเปิดเผย ชัดเจน,
มันก็กลายเป็น
เรื่องที่ขึ้นอยู่กับ เหตุผล,
และมักจะเป็น
เหตุผลของการพูดจา
เสียมากกว่า เช่น โลกหน้า
เป็นต้น ดังนั้น มันมีทางออก
อีกทางหนึ่ง ที่จะวินิจฉัย
หรือ
ตัดสินเกี่ยวกับเรื่องนี้.
คือว่า ความเห็น หรือ
เหตุผลนั้น
จะต้องฟังดูอีกทีหนึ่งว่า
การกล่าว ลงไปเช่นนั้น
มันมีประโยชน์ หรือ
ไม่มีประโยชน์,
ถ้ามันมีประโยชน์
ก็ต้องนับว่า
เป็นการสันนิษฐาน หรือ
ความเข้าใจที่ถูกต้อง,
ถ้ามันเป็น ประโยชน์เต็มที่
ในเมื่อความเห็น อีกทางหนึ่ง
ไม่มีประโยชน์ อะไรเลย
อย่างนี้ ก็ต้องเอาอย่าง
ที่เป็นประโยชน์เต็มที่
นี่แหละ เรื่องเกี่ยวกับ
ชาติหน้า หรือ ชาติอื่น
ที่เอามาให้ดูไม่ได้,
เพราะไม่ใช่เรื่องวัตถุ
จะต้องเป็นไป ในทำนองที่ว่า
ความคิดเห็น หรือ
หลักเกณฑ์อย่างไร
เป็นประโยชน์ ความคิดเห็น
หรือ หลักเกณฑ์อันนั้น
ถูกต้อง
การที่จะสอนเรื่อง
โลกหน้า กันไปตามตัวหนังสือ,
หรือ ตามความเข้าใจ ที่นำสืบๆ
กันมา อย่างหลับหู หลับตานั้น
อาจจะกลายเป็นผู้ทำผิด,
หรือเป็นผู้โง่เขลา
เกี่ยวกับเรื่องนี้เสียเอง.
ดังนั้น เราในฐานะ ที่เป็น
นักศึกษาธรรมฑูต
จักไม่ตกหลุม ตกบ่อ ของตัวเอง,
ของความโง่เขลา ของตัวเอง
มากเหมือนอย่างนั้น,
ยิ่งตั้งอยู่ในฐานะ
ที่จะไปสอน เข้าด้วยแล้ว
ก็จะต้องระวังให้ดี, หรือ
ควรจะรับผิดชอบ ให้เต็มที่,
ให้มันเป็นเรื่อง
ที่มีประโยชน์ จึงจะเรียกว่า
ถูกต้อง
ที่นี้
เราจะได้พูดกัน ถึงเรื่องนี้
ชาตินี้ ชาติหน้า โลกนี้ หรือ
โลกหน้า ต่อไป.
ข้อนี้มันเกี่ยวกับ คำว่า "ชาติ"
คือ ความเกิด เป็นส่วนใหญ่
สิ่งที่เรียกว่า
ความเกิดนั้น
มันต้องรู้กันด้วยว่า
เป็นความเกิดของอะไร.
เป็นความเกิดของเนื้อหนังร่างกาย,
หรือว่าเป็นความเกิดของจิตใจ
แน่นอนความเกิดนั้น
ยังเป็นความเกิดของตัวเราหรือตัวกู
แต่มันยัง มีเป็น ๒
อย่าง, คือเกิดทางร่างกาย,
หรือ เกิดทางจิตใจ
ตัวเราเกิดทางร่างกาย หรือ
เกิดจากท้องแม่ เกิดทีเดียว
ก็เสร็จไปตลอดชาติ, แต่ว่า
การเกิดทางจิตใจนั้น
เกิดได้เรื่อยไป,
วันหนึ่งเกิดได้หลายๆหน หรือ
หลายสิบหน
ปัญหาจึงมีขึ้นเป็นชั้นแรกว่า
ความเกิดชนิดไหน
เป็นความเกิด ที่เป็นปัญหา
สำหรับมนุษย์เรา
ที่เราจะต้องรู้,
ที่เราจะต้อง เอาชนะให้ได้, โดยมีหลักอยู่ว่า
ความเกิดเป็นทุกข์, หรือ
ความเกิดทุกที
เป็นทุกข์ทุกที.
ถ้าเกี่ยวกับความเกิดจากท้องแม่
มันก็เป็นเรื่องเสร็จสิ้นไปแล้ว,
ไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่,
แต่ถ้าเป็นการเกิดทางจิตใจ
มันยังจะเกิดอีกเรื่อยไป, คือ
มันเป็นการเกิดทางจิตใจ
มันยังจะเกิดอีกเรื่อยไป,
คือมันยังจะต้องมีความทุกข์อีกเรื่อยไป,
นี่เป็นการเกิดทางใจ
ทางนามธรรม
เป็นการเกิดของอุปาทานว่า
ตัวเรา ว่า ของเรา.
พระพุทธองค์ ก็ได้ตรัสว่า
เบญจขันธ์
ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน
นั้นเป็นทุกข์ ด้วยเหตุนี้
เราพอจะจับหลักได้ว่า
เบญจขันธ์มีอุปาทานว่า ตัวกู
ของกู ขึ้นในขณะใด, ขณะนั้น
เบญจขันธ์นั้น
จะต้องมีความทุกข์
เพราะมีการ ยึดถือเบญจขันธ์
นั้นเอง ว่าเป็นตัวกูบ้าง
ว่าเป็นของกูบ้าง ในขณะใด
เบญจขันธ์
ปราศจากความรู้สึกว่า
มีอุปาทาน
ในขณะนั้นก็ไม่มีทุกข์
เบญจขันธ์
ของพระอรหันต์ เรียกว่า
เบญจขันธ์บริสุทธิ์,
ปราศจากกิเลสอุปาทาน
จึงไม่เป็นทุกข์ ตลอดเวลา
ตลอดกาล,
ส่วนเบญจขันธ์ของคนธรรมดา
นั้น เดี๋ยวก็เกิดอุปาทาน
เดี๋ยวก็เกิดอุปาทาน
มีความรู้สึก ไปในทำนอง
เป็นตัวกู ของกู
เกิดอยู่บ่อยๆ
จึงเป็นทุกข์บ่อยๆ
พร้อมที่จะเกิด
และจะเป็นทุกข์
และง่ายดายที่สุด ที่จะเกิด
และเป็นทุกข์
มันแตกต่างกันอยู่อย่างนี้,
นี้คือ การเกิด
และเป็นการเกิด ของตัวกู หรือ
ของกู ในฝ่ายนามธรรม หรือ
ทางจิต, ดังนั้น
สิ่งที่เรียกว่า ชาตินี้ หรือ
ชาติหน้า ในทางฝ่ายร่างกาย
และทางฝ่ายนามธรรม
มันจึงต่างกันอย่างยิ่ง
อีกเหมือนกัน, ชาติหน้า
ฝ่ายร่างกาย
หรือฝ่ายวัตถุนั้น
มันต้องเข้าโลง ตายเข้าโลง
เน่าไปแล้ว จึงจะมีชาติหน้า.
ส่วนเรื่องชาติหน้า
ของการเกิด ฝ่ายนามธรรม หรือ
ฝ่ายจิตนั้น มีสลับกันอยู่ใน
ชาตินี้ และกระทั่งในวันนี้
มีชาตินี้ ชาติหน้า
สลับกันอยู่ จนกล่าวได้ว่า
ในกรณีที่ มีความรู้สึกว่า
ตัวกูของกู
เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง นั้น คือ
ชาติหนึ่ง, พอกรณีนั้น
สิ้นสุดไป ก็เรียกว่า
ชาตินั้น สิ้นสุดไป
พร้อมที่จะ มีชาติหน้าใหม่,
คือจะมีกรณีที่
ทำให้เกิดตัวกู ของกู
ต่อไปใหม่ นี้เรียกว่า
ระหว่างชาตินี้ กับชาติหน้า,
แม้ในภายในวันหนึ่ง
ก็มีได้ตั้งหลายชาติ,
ผลที่ทำไว้ ในชาติที่แล้วมา
คือ ในกรณี ก่อนจะมามี
ความทุกข์เกิดขึ้นในกรณีหลัง,
อย่างนี้เป็นสิ่งที่แน่นอน,
เห็นได้ชัดด้วยตา ด้วยใจ
อย่างชัดแจ้ง เปิดเผย,
เช่นตัวกู เกิดขึ้น
กระทำอย่างโจร,
เสร็จแล้วตัวกูก็เกิดขึ้น
ในลักษณะที่กลัวความผิด,
หรือร้อนใจ คือตัวกู
กระทำความชั่ว ไว้ในกรณีหลัง
ที่เกิดตัวกู
รู้สึกในเรื่องนี้ขึ้นมา,
แล้วก็ร้อนใจ และเป็นทุกข์
ดังนี้เป็นต้น. เรียกว่า
ผลในชาติก่อน ให้ผลแล้ว
ในชาติถัดมา, ดังนั้น
ในวันหนึ่ง
จึงมีการเกิดตัวกูของกู
อย่างนี้ ได้หลายๆชาติ
มีทั้งชาตินี้
มีทั้งชาติหน้า.
ถ้าจะเรียกอีกอย่างหนึ่ง
ก็เรียกว่า เป็นกรณีๆ
ไปทีเดียว, กรณีหนึ่ง ก็คือ
ชาติหนึ่ง, แต่คำว่า "กรณี
กรณี" ในที่นี้ ต้องสมบูรณ์
จริงๆ, หรือ เป็นกรณีที่มี
ความรู้สึกเป็นตัวกู ของกู
เกิดขึ้นมา อย่างสมบูรณ์,
เรียกว่า การเกิดขึ้น
การตั้งอยู่ การดับไป
โดยสมบูรณ์
ในกรณีของการที่อุปาทาน
ได้เกิดขึ้น, การเกิดขึ้น
ตั้งอยู่ ดับไปของจิต
ในขณะจิต ตามธรรมดานั้น
ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้
และไม่มีความหมายอะไร,
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่
ดับไปของอุปาทาน
เนื่องด้วยตัวเรา
เนื่องด้วยของเรานี้
มีความหมายเต็มที่
และปัญหาอยู่ที่นี่ ดังนั้น
จึงต้องจัดการ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้ดีๆ
ให้เห็นว่า
มันอยู่ใกล้ที่นี่
และเดี๋ยวนี้ เราจึงจะกำจัด
ความทุกข์ที่เกิดขึ้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้.
คนโง่
ย่อมคิดไกลเกินไป
จนไม่มีประโยชน์
"คนโง่ก็ไปคิดเอา
สิบเบี้ยไกลมือ,
คนฉลาดก็ไปคิดเอา หนึ่งเบี้ย
สองเบี้ย ใกล้มือ"
นี้เป็นคำพูดพื้นบ้าน,
ซึ่งดูเหมือนจะมีอยู่ทั่วไป
ว่า คนโง่คิดไกลอย่างนี้
เพราะฉะนั้น
ชาติหน้าของคนโง่
จะต้องอยู่ไกล
หลังจากตายไปแล้ว อยู่เสมอ
แต่ชาติหน้า ของคนฉลาด
ต้องอยู่ที่นี่ และเดี๋ยวนี้
ติดต่อกันไปทีเดียว
จึงสามารถ ป้องกันมันได้
คนโง่จะเอาเรื่องเหตุ
ไว้ที่ชาติอื่น,
เอาผลไว้ที่ชาติอื่น,
แล้วมันจะทำกัน ได้อย่างไร,
เช่นว่าเดี๋ยวนี้
เราจะมีความทุกข์ เราต้องการ
จะตัดต้นเหตุ ของความทุกข์,
แล้วเราเอาเหตุ ของความทุกข์
ไปไว้ที่ชาติอื่น คือ
ชาติทึ่แล้วมา อย่างนี้
มันจะตัดต้นเหตุ
ของความทุกข์ ได้อย่างไร
นี่พูดถึง ชาติ ของร่างกาย
มันต้องอยู่ในชาติ
ทางร่างกายเดียวกันนี้,
ทั้งเหตุและผล
เราจึงจะสามารถ ตัดต้นเหตุ
แห่งความทุกข์นั้นได้
และได้รับผล
เป็นความไม่ทุกข์ได้
สิ่งต่างๆ ต้องอยู่ในวิสัย
ที่เราจะเกี่ยวข้องได้
จัดการได้
มันจึงจะเป็นประโยชน์,
ถ้าเอาไปไว้กันเสีย
คนละชาติแล้ว มันแทบจะ
ไม่มีประโยชน์อะไร
และในบางกรณี มันทำไม่ได้
เหมือนกับที่ เราจะดับทุกข์
ของชาตินี้ แต่เหตุของมัน
อยู่ที่ ชาติก่อนโน้นแล้ว
จะไปดับได้อย่างไร.