มารหรือซาตานที่แท้จริง
ฉะนั้น อย่าอวดดีว่า
เรียนหนังสือมาก
อ่านหนังสือมาก คิดมาก
อะไรมาก พูดก็เก่ง
อะไรก็มีเครดิตดี ป่วยการ
เหลวไหล ต้องสอบไล่กัน ที่นี่
ฉะนั้น ซาตานนี่ มีประโยชน์,
ไม่ใช่เป็นผีมาหลอกคน
เหมือนที่เขาเขียน
รูปภาพโง่ๆ ไปอย่างนั้น,
ซาตาน คือส่วนหนึ่งของธรรมะ
เอาซาตาน ไปทิ้งไว้ที่ไหน
ถ้าไม่รวมอยู่ในคำว่า ธรรม
ธรรมทั้งปวง ไม่มีดอก
ไม่มีอะไร นอกไปจากคำว่า
ธรรมทั้งปวง. ฉะนั้น
ส่วนที่มันจะมาทดสอบคน
สอบไล่คน นั่นแหละ คือ ซาตาน,
มันก็มาจากสิ่งที่เรียกว่า
ธรรมะ แต่มาในฐานะผู้สอบ หรือ
ผู้ยั่วให้ทำผิด
ทดสอบดูว่ามันเก่งหรือยัง?
ถ้ามันเก่งจริง
มันจะมายั่วอย่างไร
มันก็ไม่ทำผิด ซาตานก็ดับไป
เป็นธรรมตามธรรมดา.
เดี๋ยวนี้ สอนกันโง่ๆ ผิดๆ
ว่า ซาตาน
เป็นคู่ต่อสู้กับพระเจ้า
ผมว่าโง่ที่สุดเลย
พระเจ้าส่งมา ทดสอบคน
สอบไล่คน
ถ้าเมื่อไม่โง่กว่าซาตาน
ก็ใช้ได้ เป็นคนของพระเจ้า. ซาตานเป็นเครื่องมือของพระเจ้า,
นี้ไปเขียนเป็นรูป ผีปีศาจ
น่าเกลียด น่ากลัว นั้นก็โง่.
ซาตานต้องมา ในรูปร่าง
ที่หน้าแฉล้ม แช่มช้อย น่ารัก
น่าหลงใหล และก็มาเพื่อ
ทดสอบคน เพราะฉะนั้น
คนจะไปโกรธ ได้หรือ จะไปโกรธ
ไปโลภ ไปหลง อะไรได้,
เรื่องนั้นมัน น่ารัก
มันยั่วยวน เกินไป;
ถ้ามาในเรื่อง น่าเกลียด
มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น
แต่มันมาในลักษณะ
ที่ยั่วยวนจนเกินไป
มันจึงหลงไปได้.
เดี๋ยวนี้
ไม่รู้จักแม้แต่สิ่งที่เรียกว่า
ซาตาน นั้นคืออะไร.
ผมกล้าพูดว่า
พวกฝรั่งคริสเตียนก็ไม่รู้ว่า
ซาตานคืออะไร เข้าใจผิด
เป็นอย่างอื่นไป.
เครื่องทดสอบของพระเจ้าคือซาตาน;
นี้ถ้าเราไม่มีพระเจ้า
เรามีแต่ธรรม ซาตานก็คือ
ธรรมส่วนที่มาทดสอบ
ให้ชื่อว่า พญามาร
ที่มารบกวนพระพุทธเจ้า;
นั่นแหละ ก็มาจากพระเจ้า
มาทดสอบพระเจ้าสิทธัตถะ
มาทดสอบพระพุทธเจ้าว่า
เป็นพระพุทธเจ้า จริงไหม?
จริง มันก็กลับไปหาธรรมเลย.
คำว่า ธรรมทั้งปวง
มันรวมซาตานอยู่ด้วย; แต่
เราเรียกว่า มาร, มารผู้มีบาป :
มาโร ปาปิมา
เรียกชื่ออย่างนี้ทุกที.
มารผู้มีบาป บาป คือธรรม
ธรรมฝ่ายบาป, บาปธรรม
มาทดสอบมนุษย์.
พูดให้เป็นวิทยาศาสตร์
ง่ายๆก็ว่า ความคิดเลวๆ
ที่มันแทรกเข้ามา เป็นครั้งๆ
คราวๆ อย่างพระสิทธัตถะ
กระอักกระอ่วน
จะกลับไปบ้านดีไหม ก็มี, มาร
มากระซิบ ให้กลับไปบ้าน
ทางบ้านยุ่งใหญ่แล้ว
ลูกเมียขณะนั้นก็หวนระลึก,
แล้วก็ต่อสู้ไม่กลับไป
มารก็หายไป จึงสำเร็จ
เป็นพระพุทธเจ้า.
นี่ก็คือความคิดเลวๆ,
อกุศลธรรม มาแทรกแซงชั่วคราว.
นี่คือซาตาน มารผู้มีบาป
แม้ในวาระสุดท้ายว่า
นิพพานเสียเถอะ
อย่าไปเที่ยวสอนเลย.พระพุทธเจ้าก็ว่า
ยัง มนุษย์ยังไม่รู้ธรรมะ
เรายังไม่นิพพาน. ทีนี้พอถึง
๓ เดือนจะนิพพาน
มารทูลให้นิพพาน; เอ้า เข้าที,
ก็บอกว่า ๓ เดือน
แต่นี้จะนิพพาน.
มันไม่มีอะไร
นอกจากสิ่งที่เรียกว่า ธรรม
มีความหมายกว้าง
แล้วความเป็นธรรมนี้
มันเป็นธรรมฝ่ายถูก หรือ
เป็นธรรมฝ่ายผิด,
ธรรมฝ่ายตัวกู
หรือธรรมฝ่ายที่ไม่มีตัวกู.
ถ้าธรรมฝ่ายตัวกู คือ
ฝ่ายอกุศลธรรม แล้วก็แย่เลย
ความจริง ความถูกต้อง ความงาม
ความยุติธรรม ตามแบบนั้น
มันกลืนไม่ลง มันไม่ไหว,
มันต้องเป็นตามแบบของ
ฝ่ายที่ไม่มีตัวกู
ไม่มีของกู จึงจะน่ารัก
น่าบูชา น่านับถือ.
นี่ดูเถอะ
ความทุกข์มันตั้งต้นเมื่อไร?
ตั้งต้นเมื่อ รู้จักความดี
และ ความชั่ว อย่างผิดๆ,
มันไปรู้จักเรื่องความดี
และความชั่วผิด
จึงยึดมั่นถือมั่น มีตัวกู
ยกหูชูหาง ฟันต่อฟัน ตาต่อตา
คือยุติธรรม. นี่มันเข้าใจ
ความดีความชั่วผิด,
แล้วต่อมาก็เข้าใจ
ความดีความชั่วถูก ก็โอ๊ย
ไม่ไหว, ที่ไม่เอาอะไรเลย
นั่นแหละคือยุติธรรม คือ
มันปกติ หรือ สมดุลย์
เมื่อเราไม่ต้องการอะไรเลย.
ฟันต่อฟัน ตาต่อตา นี้ไม่เอา
มันเป็นเรื่องบาปมาทีแรก
ฝ่ายหนึ่ง,
แล้วอีกฝ่ายหนึ่งจะไปบาปเพิ่มขึ้น
แล้วฝ่ายโน้นก็บาปกลับมาอีก
แล้วฝ่ายนี้ก็บาปกลับไปอีก
เพิ่มขึ้นเป็นคู่ๆคู่ๆ;
นี่หรือคือความยุติธรรม.
เขาด่าเรา เขาก็เป็นฝ่ายบาป
หรือฝ่ายสกปรก;
แล้วเราไปด่าเขา
เราก็เป็นฝ่ายบาป
เขาด่ามาอีก
แล้วเราก็ด่าไปอีก
เป็นคู่ๆมาอย่างนี้
ฟันต่อฟัน ตาต่อตา
ไม่มีความสงบ ไม่มีความสุข;
แต่เรียกว่า เป็นธรรม
ตามแบบของกิเลส
ถูกต้องหรือยุติธรรมตามแบบของกิเลส.
ทีนี้ไม่ต้องการแพ้
ไม่ต้องการชนะ
มันก็เลยหมดปัญหา
ถ้าต้องการชนะ ชนะภาษาคนนะ
ก็คือ จะเพิ่มคู่ๆๆๆ
ความเลวขึ้นมาทีละคู่
ทีละคู่ แล้วก็ผลัดกันแพ้
ผลัดกันชนะ, ผลัดกันแพ้
ผลัดกันชนะเรื่อยไป
ไม่มีที่สิ้นสุด,
แล้วมันก็วินาศไป
แล้วมันก็ไม่มีทางที่จะแพ้จะชนะกันได้
เพราะมันรบกับพระเจ้า.
การที่เราทำผิด ทำชั่วนี้ คือ
รบกับพระธรรม รบกับพระเจ้า;
อย่าไปเข้าใจว่า
รบกับเด็กคนหนึ่ง
พระองค์หนึ่ง เณรองค์หนึ่ง
อะไรนี่ ที่เกิดโลภะ โทสะ
โมหะ ขึ้นมา
เป็นเรื่องเป็นราว เป็นปัญหา,
คือว่ามันรบ รบกับธรรมะ
รบกับพระเจ้า ไม่มีทางชนะดอก;
เพียงแต่พระเจ้าส่งซาตานมา
นิดเดียว มันก็ฉิบหายหมดแล้ว,
ไม่มีทางชนะพระเจ้าได้.
นี้เราจะไม่รบกับพระธรรม
คือกฏของธรรมชาติ
หรืออะไรที่เรียกว่าเป็น
ตัวธรรม, เราทำให้มันถูก
ให้มันชนะเรื่อย คือไม่แพ้
และไม่ชนะ, ไม่แพ้และชนะ
ตามแบบภาษาคน คือชนะตลอดกาล
ตามแบบภาษาธรรม,
ไม่มีเรื่องเกิดขึ้น
ไม่มีปัญหาเกิดขึ้น
ไม่มีความทุกข์เกิดขี้น
ไม่มีตัวกู-ของกูเหลืออยู่
มันก็สิ้นสุด.
เอาละ ผมหวังว่า ทุกๆองค์นี้
จะฟังด้วยดี, แล้วไปคิดด้วยดี
เพราะนี้คือที่มัน condensed
ออกมาจากพระไตรปิฎก
จากไบเบิล จากอะไร
จากคัมภีร์ทุกแขนง
มาเป็นคำพูด
เพียงไม่กี่ประโยค
เอามาพูดให้คุณฟัง;
ก็เหมือนกับ ฟังทั้งหมดในโลก,
ฟังพระธรรมคำสอน
พระคัมภีร์ทั้งหมด
ที่มีอยู่ในโลก
มันเรื่องตัดตัวกู-ของกูเท่านั้น,
ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น,
ประจำวัน ประจำคืนนี้
ต้องพยายามตัด ตัวกู-ของกู;
ถ้าตัดยังไม่ได้
ก็ควบคุมให้ได้, อย่าให้ตัวกู-ของกู
ขึ้นมาบงการ จริงอย่างนั้น
ถูกอย่างนี้
ยุติธรรมอย่างนั้น,
อย่าให้มันขึ้นมาบงการ.
ให้จิตของเรา ว่างจากตัวกู-ของกู
อยู่เรื่อย จิตมันรู้เอง
จิตจะเป็นผู้รู้เอง,
จิตที่ว่างจากตัวกู
มันจะรู้เองว่า อะไรยุติธรรม
อะไรไม่ยุติธรรม,
และควรทำอย่างไร ในกรณีนี้,
แล้วจิตชนิดนี้
มันจะแสวงหาคำตอบ
จากพระพุทธเจ้า จากพระเยซู,
จิตมีสติสัมปชัญญะ
จิตชนิดนี้ มันจึงสามารถ
จะถาม พระพุทธเจ้าได้
ว่าควรทำอย่างไรในกรณีนี้,
รอเวลา ๑๐ นาที ๕ นาที ก็ถมไป
ก็ได้คำตอบที่ดี
เรื่องมันก็สิ้นสุดลงไป.
ฉะนั้น จะต้องถือว่า
ไม่ใช่เรื่องพูดสนุกๆ
หรือว่าพูดเล่นลิ้น
เล่นโวหาร เล่นสำนวน;
แต่เป็นเรื่องที่กลั่นกรอง
มาจากทั้งหมดของพระคัมภีร์
มาพูดให้ฟัง
เพื่อประหยัดเวลา. โดยส่วนตัว
คุณก็ทำสิ่งต่างๆ
ที่เป็นประโยชน์แก่วัด
หรือแก่ผม
หรือตามความต้องการของผม,
ผมก็ควรจะขอบใจ
แล้วสิ่งที่จะตอบสนองก็คือสิ่งนี้
ที่มันดีที่สุด.
ธ-ปาฎิ-๒ ๓๑.ก/๓๓๑-๓๓๔