หนังสือ
ชุมนุมข้อคิดอิสระ
พุทธทาสภิกขุ
คำนำในการพิมพ์ครั้งที่
๔
"ชุมนุมข้อคิดอิสระ"
เป็นหนังสือ ที่ทาง กองตำรา
คณะธรรมทาน ได้รวบรวม
บทความต่างๆ
ที่ท่านเจ้าประคุณ
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
เป็นผู้เขียน ลงพิมพ์
ในหนังสือพิมพ์ พุทธสาสนา
ของคณะธรรมทาน เรื่อยมา
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๖ และได้รับ
ฉันทานุมัติ ให้จัดพิมพ์ขึ้น
เป็นเล่ม เมื่อพ.ศ. ๒๔๙๙
เป็นครั้งแรก ด้วยเจตนา
ที่อุทิศให้แก่ บรรดาพระสาวก
ผู้กล้าคิดอิสระ
และยังยืนยัน ความคิดเห็น
ในบทความ เหล่านั้นอยู่
ดังที่ปรากฏ
อยู่ในหน้าที่พิมพ์คำอุทิศ
และในบทคำนำ ของกองตำรา
คณะธรรมทาน
เมื่อทางสำนักพิมพ์
ได้พบหนังสือเล่มนี้
ได้อ่านแล้ว
ให้รู้สึกเสียดาย
เป็นอย่างยิ่ง ถ้าจะปล่อย
ให้ผ่านไป โดยไม่นำมา เผยแผ่
ให้บรรดา ผู้กล้าคิด
รุ่นหลังๆ ได้ใช้เป็นอุปกรณ์
เบิกทางค้นหา ทางสายกลาง
ที่พระพุทธองค์
ได้เสด็จพระราชดำเนิน ผ่านไป
นานแล้วนั้น เพราะเหตุที่
พวกเราในยุคนี้ ต่างก็เกิดมา
ท่ามกลาง คัมภีร์ ตำรับตำรา
พิธีรีตองต่างๆ ตลอดจน
การปฏิบัติต่างๆ หลายรูปแบบ
ทำนองเดียวกับ พระพุทธองค์
ที่ทรงอุบัติขึ้นมา
ในมัธยมประเทศ
ที่กำลังเต็มแน่น ออแอ ไปด้วย
เจ้าลัทธิต่างๆ
อย่างเหลือเฟือ แต่พระองค์
ผู้เป็น จอมยอด ของนักคิดค้น
ก็มิได้ทรง ยอมติดตัน
อยู่เพียงแค่ สมาบัติแปด
อันเป็นขั้นสูงสุด
ของอรูปฌาณ ของอุทกดาบส
ผู้รามบุตรที่บัญญัติว่า คือ
นิพพาน ด้วยเป็นเพียง การส่ง
"ตน" ไปอยู่ใน สมาบัติแปด
หรือ พรหมโลก เท่านั้น
แล้วภายหลัง จากที่
ทรงคิดค้นหา ความจริง คือ
ความพ้นทุกข์ ด้วยใจ
ของพระองค์เอง
จนถึงที่สุดแล้ว โลกก็ได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นผู้ชี้บอก
ทางแห่งความหลุดพ้น จาก "ตน-ของตน"
แก่มนุษย์ พร้อมทั้ง เทวดา
มาร พรหมฯ ว่า
เมื่อเห็นอนัตตา
รู้สึกอนัตตา
เป็นอยู่อย่างอนัตตา
กล่าวคือ เห็นอนัตตา
ว่างจากตัวตน โดยประจักษ์
ด้วยปัญญาจักษุ
รู้สึกว่างจากตัวตน และ
เป็นอยู่อย่าง ว่างจากตัวตน
ผู้เป็น และอยู่แล้ว
เมื่อนั้น มัจจุราช ก็จะตามหา
ผู้นั้น ไม่พบ โปรดฟังให้ดีๆ
ว่า มัจจุราชจะ ตามหาไม่พบ!
อย่าพูดว่า "พิชิตมัจจุราช"
อย่างภาษาคน ภาษาสมมติ
มันจะย้อน หรือ
ย้ำความมีตัวตน ยิ่งขึ้น
การที่มัจจุราช
ตามหาไม่พบ
นั่นเป็นเรื่องของเขา
เขามีหน้าที่ตามหา ก็หาไป
หาพบ หรือ หาไม่พบ
มันก็เรื่องของเขา
หน้าที่ของเขา เขาก็ ทำเต็ม
ตามหน้าที่ เราไม่ได้
สู้กับเขา จะพิชิตเขา
ได้อย่างไร เราสู้กับ ตนเอง
กับกิเลส ตัณหา อุปาทาน และ
กรรมของตนเอง ที่มันย่ำยี
กระทำแก่จิตใจเรา
ให้เศร้าหมอง ตลอดมา
นานแสนนาน เราสู้ด้วยสติ
ด้วยปัญญา ที่รู้เท่าทัน
ตามกลวิธี ที่พระพุทธเจ้า
ทรงชี้บอก เมื่อชนะ หรือ
พิชิตมันได้ จิตใจของเรา
ก็มีแต่ ความสะอาด สว่าง สงบ
ถึงที่สุด และนั่นแหละ คือ
ภาวะที่ ว่างจากตัวตน
อย่างถาวร แล้ว ใครๆ
แม้แต่มัจจุราช จะหาไม่พบ
ไม่มองเห็นได้ ฉะนั้น
อย่าสำคัญผิด จะหลงทาง ไปอีก
นานแสนนาน จนหาทางกลับ
ไม่ถูกก็ได้
และหนังสือเล่มนี้
ก็จะช่วยได้ ช่วยให้กลับมา
ตามรอยบาท พระพุทธองค์
ได้ง่ายขึ้น ถ้าจะกล้าคิด
กล้านึก อย่างอิสระ ไม่ติดแจ
อยู่ว่า ไม่ใช่ ครูของเรา
เขียน หรือว่า มันผิดไปจากที่
ครูตนสอน
และตนก็เชื่ออยู่แล้ว
จะคิดให้ผิดคำครู ได้อย่างไร
แล้วละก็ ท่านทั้งหลาย
ผู้ที่เป็นอิสระ ก็จะเห็น
โดยประจักษ์ ด้วยใจ ในทุกๆ
เรื่อง ที่เป็นอุปสรรค
ขัดขวาง การบรรลุธรรม
อย่างเช่น คำพูดว่า เราๆ
นั้นน่ะ มันไม่มี "เรา"
ที่ไหนเลย หรือว่าจะไปนิพพาน
ได้สำเร็จด้วย การกินผัก หรือ
กินเนื้อ หรือ สักว่ากินอาหาร
ก็จะแก้ปัญหาได้
ด้วยปัญญาของตนเอง หรือว่า
จะติดแจเป็น พวกคันถธุระอยู่
เหมือน คนเลี้ยงวัว
ที่ไม่เคยได้กินนมวัว หรือ
ยึดแน่นอยู่ว่า
ตนเป็นพวกวิปัสสนาธุระ
รู้วิธีทำข้าวสาร
ให้เป็นข้าวสุกได้ แม้ว่า
จะไม่เคยมีข้าวสาร
มาหุงให้ได้บริโภคจริง,
เหล่านี้ เป็นตัวอย่าง
อันเล็กน้อย ความสำคัญ
ที่ควรจะ มองให้เห็น และนำมา
ประยุกต์ใช้ ในการปฏิบัติ
ให้เป็นปัจจัย
แห่งการบรรลุถึง ความดับเย็น
เป็นนิพพานได้
ตามพุทธประสงค์ ยังมีอีกมาก
ที่เราไม่เคย นึกถึง หรือ
ไม่เคยนึกรู้ว่า
สิ่งเหล่านั้น มันเป็น ปลิโพธ
(เครื่องเหนี่ยวรั้ง ขัดขวาง)
อันหนึ่ง
ความรู้ที่ไม่เคยรู้ว่า
มันก็เป็น ปลิโพธ เราจึงหลง
วนอยู่ อย่างไม่รู้ตัว
เหล่านี้ ก็จะหาพบได้
ในหนังสือเล่มนี้ และ แม้ว่า
จะยังมี เรื่องอื่นๆ อีก
นอกไปจาก เหล่านี้ก็ตาม
ก็เชื่อว่า แม้เพียง
เท่าที่มีปรากฏ
อยู่ในหนังสือ เล่มนี้นั้น
ถ้าว่า มองเห็น ความจริง
ได้ทั้งหมด
นี้ก็เกินคุ้มแล้ว
รอดตัวแล้ว
อย่างไรก็ตาม
ผู้ศึกษา จะต้องมีจิตใจ
ที่นอกจาก จะเป็นอิสระ
จากสิ่งทั้งปวงแล้ว
ยังจะต้องมี
ยถาภูตสัมมัปปัญญา
มองให้ทะลุ ความเป็นมายา
เป็นเท็จเทียม ก็จะพบ
ความเป็นจริง ตาม
กฏของธรรมชาติ ของธรรมดาได้
ข้อนี้ ทรงตรัสไว้ว่า "ญาณ
ย่อมไม่มีแก่ ผู้ไม่มีปัญญา
ปัญญา ย่อมไม่เกิดแก่
ผู้ไม่มีฌาณ"
ขอท่านผู้มีปัญญา
ได้วินิจฉัย
เอาด้วยตนเองเถิด เพราะว่า
เมื่อมี ฉันทานุมัติ
ให้พิมพ์ได้
เมื่อครั้งแรกนั้น
ท่านได้กล่าวไว้ ดังมีปรากฏ
อยู่ในคำนำ ผู้จัดพิมพ์ว่า
บทความ เหล่านี้
ท่านเคยถูกด่า มาแล้ว ตั้งแต่
เริ่มเขียน เมื่อมี
ฉันทานุมัติ ให้พิมพ์ได้
ก็หมายถึง ยังยินดี
ที่จะถูกด่า ต่อไปอีก
โดยไม่มีกำหนด เพราะว่า
ยังยืนยัน ความคิดเห็น
ในบทความ เหล่านั้นอยู่
ตกมาบัดนี้ ปี พ.ศ.
๒๕๓๒ เมื่อทางสำนักพิมพ์
ไปขอฉันทานุมัติ
เพื่อจัดพิมพ์ จำหน่าย อีกต่อ
ๆ ไป ตราบเท่าที่ ยังมีบุคคล
ผู้มีความคิด เป็นอิสระ
กล้านำไปคิดนึก ใคร่ครวญ
ด้วยวิปัสสนาปัญญา ของตน
เพื่อให้เกิด วิปัสสนาญาณ
เห็นลู่ทาง ที่จะบรรลุ มรรค
ผล ได้ด้วยตนเอง
ซึ่งท่านเจ้าประคุณ
พระธรรมโกศาจารย์ ก็ได้มี
ฉันทานุมัติ ให้ด้วยเมตตา
อันมีอยู่ในใจ ของท่าน
เป็นประจำ ที่พร้อมที่จะให้
ทุกครั้ง ที่มีโอกาส
และครั้งนี้
ก็เป็นการให้โอกาส
แก่ทางสำนักพิมพ์
ที่จะได้เผยแผ่ธรรมะ
โดยทางอ้อม อีก
ซึ่งทางสำนักพิมพ์ จะตอบแทน
พระคุณท่าน ได้ก็แต่ โดยการ
ถวายปณิธาน ไว้ว่า จะไม่ทำการ
แก้ไข ดัดแปลง ข้อความใดๆ
ที่เป็น ข้อเขียน หรือ
คำบรรยาย
ที่ได้บรรยายไว้จริง ในเทป
แต่ประการใด ตลอดไป
ขณะนี้ ก็ปี ๒๕๓๒ แล้ว
ความเมตตา ของท่าน
จะมีผลคุ้มค่า หรือ เกินคุ้ม
หรือไม่ ก็อยู่ที่ว่า
ท่านผู้อ่าน จะได้ใช้
หลักกาลามสูตร ประกอบไปด้วย
ยถาภูตสัมมัปปัญญา หรือไม่
เพียงใด ๆ
แล้วจะสาธุการ ด้วยความสำนึก
พระคุณ ที่ท่าน ได้ช่วย
ให้หลุดพ้น
จากสิ่งที่เรียกว่า
สีลัพพตปรามาส ได้โดยง่าย
และสะดวก หรือว่า จะยังคง
มีแต่ญาณ ที่เรียกกันว่า
ญาณวิปปยุต ซึ่งมีแต่
จะให้โทษ และงมงาย อยู่ต่อไปๆ?
ทุกฝ่าย ต่างก็
ทำหน้าที่ ของตนๆ แล้ว
ท่านผู้ที่กำลังอ่าน
หนังสือเล่มนี้ อยู่เล่า
ได้ทำหน้าที่ ของตน
ให้แก่ตนเอง แล้วหรือยัง?
โปรดตอบตน
ด้วยใจของตนเองเถิด.
สำนักพิมพ์สุขภาพใจ
พ.ศ. ๒๕๓๒
คัดจาก
หนังสือ ชุมนุมข้อคิดอิสระ
พุทธทาสภิกขุ
พิมพ์ครั้งที่ ๕ โดย
สำนักพิมพ์สุขภาพใจ พ.ศ.
๒๕๓๘ |