สวนโมกข์วันนี้
แม้สวนโมกข์จะก้าวย่างเข้าสู่ปีที่
๖๐
แห่งการก่อตั้ง
แต่ปณิธานแห่งการทำงานเพื่อรับใช้พระศาสนาและเพื่อนมนุษย์
ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต
กิจวัตรของคณะสงฆ์ยังคงดำเนินไปดังเช่นที่เคยเป็นมาในอดีต
กิจวัตรของคณะสงฆ์ยังคงดำเนินไปดังเช่นที่เคยเป็นมาในอดีต
เพื่อมุ่งไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้
แต่สิ่งที่จำต้องเปลี่ยนแปลงไปคือ
การหมุนเวียนของพระเณรทั้งเก่าและใหม่
และกายสังขารของท่านอาจารย์
ที่ล่วงเข้าสู่วัยชราตามเหตุปัจจัยแห่งธรรมชาติ
ท่านอาจารย์พุทธทาส
อาพาธหนักครั้งแรกเมื่อ
ปี ๒๕๑๘
ขณะอายุได้
๖๙ ปี
โดยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช
และอาพาธหนักอีกครั้งในปี
๒๕๒๘
เมื่ออายุได้
๗๙ ปี
จนเมื่อปลายเดือนตุลาคม
๒๕๓๔
ขณะอายุได้
๘๕ ปีเศษ
หลังจากการแสดงธรรมติดต่อกันถึง
๖ วัน วันละ ๒
ชั่วโมง
ท่านก็มีอาการอาพาธรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง
การอาพาธในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกับเมื่อ
ปี ๒๕๒๘
คือท่านตัดสินใจขอรับการรักษาตัวอยู่ที่สวนโมกข์
โดยขณะที่กำลังอาพาธหนัก
มีอาการอันน่าวิตกว่า
อาจจะดับขันธ์ได้ทุกเมื่อนั้น
ท่านได้กล่าวแก่คณะสงฆ์และแพทย์ที่กราบอาราธนาท่านเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลว่า
"ขอบใจ
ขอบใจอย่างสูง
ขอให้การอาพาธครั้งนี้เป็นการศึกษาของอาตมาอย่างยิ่ง
ขอรับการรักษาอย่างธรรมชาติ
อย่างครั้งพุทธกาลอยู่ที่วัด"
(๒๘ ตุลาคม
๒๕๓๔)
ท่านอาจารย์เห็นว่า
สาวกของพระพุทธเจ้าไม่ควรหอบสังขารหนีความตาย
(ดังที่การแพทย์สมัยใหม่มักใช้วิทยาการต่อชีวิตของผู้ป่วยอย่างผิดธรรมชาติ
ด้วยเครื่องมือและสายระโยงระยางจำนวนมากมาย)
ท่านอาจารย์ได้แสดงออกซึ่งรูปธรรมของ
"การเตรียมตัวตายอย่างมีสติ"
ให้ผู้ใกล้ชิดได้เรียนรู้
และนี่คือสิ่งที่
"พุทธทาสภิกขุ"
ได้ปฏิบัติมาตลอดชีวิตแห่งการทำงานเป็นผู้รับใช้ของพระพุทธองค์
นั่นคือ
การศึกษาค้นคว้าธรรมะ
และที่สำคัญคือการพิสูจน์ธรรมะแก่สาธุชนด้วยตัวของท่านเอง
แม้ว่าการทดลองศึกษาธรรมในครั้งนี้
จะต้องเผชิญกับภาวะอันเจ็บปวดและทรมานอย่างที่คนทั่วไปยากจะทนได้
แม้เพียงขณะเดียว
แต่ท่านได้ทนกับภาวะน้ำคั่งท่วมปอดจนไอมีเสมหะปนเลือด
อาการคลื่นไส้
ปวดมวนในท้องอย่างรุนแรง
หอบ มีไข้
หัวใจเต็นผิดจังหวะ
ไม่สามารถจะพักผ่อนนอนราบ
และฉันภัตตาหารไม่ได้
อยู่นานถึง ๔
วัน
กว่าที่จะมีแพทย์มาถวายการรักษาอย่างเป็นทางการ
เป็นการอดทนที่อาศัยขันติอันผูกเนื่องด้วยสติและปัญญา
ท่านจึงอาพาธอยู่ด้วยอาการอันสงบดังปกติ
และยังขอมิให้แพร่งพรายเรื่องดังกล่าว
เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้เกิดความวิตกกังวลและตกใจกัน
ที่สำคัญคือ
ขันติธรรมอันแสดงออกในครั้งนี้
มิใช่มุ่งที่การอวดบารมีธรรม
หรือแสวงหาคำสรรเสริญจากสาธารณชน
ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ที่จะศึกษาปฏิบัติธรรมจากการอาพาธนี้
ท่านจึงอยู่รับการรักษาที่สวนโมกข์ตามความเหมาะสม
ไม่เกินความพอดีหรือฝืนธรรมชาติ
นอกจากนี้ท่านยังได้แสดงธรรมแก่คณะแพทย์
ในระหว่างถวายการรักษาอยู่เนืองๆ
เช่น "ถือเป็นหลักแต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่ให้ธรรมชาติรักษา
ธรรมะรักษา
คุณหมอช่วยพยุงชีวิตให้มันโมเมๆ
ไปได้
อย่าให้ตายเสียก่อน
แล้วธรรมชาติก็จะรักษาโรคต่างๆ
ได้เอง
ได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น
ไม่ต้องการมากกว่านี้
ที่จริงไม่ควรจะมีอายุมากกว่าพระพุทธเจ้า
เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องศึกษา
ปัญหามันก็มีว่า
จะทำอย่างไรให้มีชีวิตมากกว่าพระพุทธเจ้า
แต่ไม่มีปัญหา...
เราจะศึกษาตัวความเจ็บ
ความตาย
และความทุกข์
ให้มันชัดเจนยิ่งขึ้น
ไม่สบายทุกที
ก็ฉลาดทุกๆ
ที เหมือนกัน (๒๙
ตุลาคม ๒๕๓๔)
และเมื่ออาการอาพาธ
ได้ทุเลาลงเป็นลำดับแล้ว
ท่านได้แสดงธรรมว่า
"การป่วยเป็นเช่นนั้นเอง
เป็นอิทัปปัจจยตา
ตามเหตุปัจจัยปรุงแต่งไม่ต้องทุกข์ร้อนรักษาก็เช่นนั้นเอง
หายหรือไม่หายก็เช่นนั้นเอง
(ตถตา) หายได้
ก็ไม่หายเจ็บต่อก็ได้
ตายก็ได้
ไม่ทุกข์ใจ
ทุกอย่างเป็นอิทัปปัจจยตาเสมอ
เป็นเพียงกระแสแห่งการปรุงแต่ง
การรักษาเป็นเพียงปัจจัยปรุงแต่งให้ถูกต้องพอดี...
การเจ็บไข้นั้น
คนเราไม่เคยหัดให้เข้าใจ
ต้องให้คนเจ็บเห็นและไม่กลัวตาย
แม้จะในเวทนาก็สักแต่เวทนา
เอาเวทนาเป็นอารมณ์ทางสมาธิ
ต้องเป็นนักเลงธรรมะ
เอาเวทนาเป็นอารมณ์ของสมาธิ
ข่มความเจ็บด้วยอำนาจสติปัญญา..."
(๒ กุมภาพันธ์
๒๕๓๕)
ชีวิตอันอยู่กับการเผยแผ่ธรรมะทุกลมหายใจเช่นนี้
ทำให้เมื่อท่านอาจารย์มีอาการดีขึ้น
ก็จะไม่ละโอกาสที่จะแสดงธรรมแก่สาธุชน
ราวกับว่า
ท่านตระหนักว่า
กำลังทำงานแข่งกับเวลาอันมีอยู่ไม่มากนักแล้ว
ด้วยเหตุนี้
ท่านจึงอาพาธอีกครั้ง
ประมาณต้นเดือนมีนาคม
๒๕๓๕
บทความ
โดย อรศรี
งามวิทยาพงศ์
จากหนังสืออนุทินภาพ
๖๐ ปี
สวนโมกข์ :
พฤษภาคม
๒๕๓๕
ลงตีพิมพ์ใหม่ในหนังสือ พุทธสาสนา
ปีที่ ๖๘ เล่ม ๒ พุทธศักราช
๒๕๔๓ |