Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!
 




เราถือศาสนาอะไรกันแน่

 

ศาสนา โบสถ์วิหาร การวัดวา

ศาสนา คือพระธรรม คำสั่งสอน

ศาสนา ประพฤติธรรม ตามขั้นตอน

ศาสนา พาสัตว์จร จวบนิพพาน

 

ศาสนา เนื้องอก พอกพระธรรม

ศาสนา น้ำครำ ของเป็ดห่าน

ศาสนา ภูตผี พานิชการ

ศาสนา วิตถาร กวนบ้านเมือง

 

ศาสนา ใหม่ใหม่ ร้ายกว่าเก่า

ศาสนา ของพวกเจ้า โจรผ้าเหลือง

ศาสนา ปัจจุบัน พันการเมือง

ศาสนา มลังเมลือง เมืองคนเย็นฯ  

 

เรียนธรรมะ

 

เรียนธรรมะ อย่าตะกละ ให้เกินเหตุ

จะเป็นเปรต หิวปราชญ์ เกิดคาดหวัง

อย่าเรียนอย่าง ปรัชญา มัวบ้าดัง

เรียนกระทั่ง ตายเปล่า ไม่เข้ารอย

 

เรียนธรรมะ ต้องเรียน อย่างธรรมะ

เรียนเพื่อละ ทุกข์ใหญ่ ไม่ท้อถอย

เรียนที่ทุกข์ ที่มีจริง ยิ่งเข้ารอย

ไม่เลื่อนลอย มองให้เห็น ตามเป็นจริง

 

ต้องตั้งตน การเรียน ที่หูตา ฯลฯ

สัมผัสแล้ว เกิดเวทนา ตัณหาวิ่ง

ขึ้นมาอยาก เกิดผู้อยาก เป็นปากปลิง

“เรียนรู้ยิง ตัณหาดับ นับว่าพอ” ฯ  

 

เรียนปรัชญา

 

เรียนอะไร ถ้าเรียน อย่างปรัชญา

ที่เทียบกับ คำว่า ฟิโลโซฟี่

เรียนจนตาย ก็ไม่ได้ พบวิธี

ที่อาจขยี้ ทุกข์ดับ ไปกับกร

 

เพราะมันเรียน เพื่อมิให้ รู้อะไร

ชัดลงไป ตามที่ธรรม- ชาติสอน

มัวแต่โยก โย้ไป ให้สั่นคลอน

สร้างคำถาม ป้อนต้อน รอบรอบวง

 

ไม่อาจจะ มีวิมุตติ เป็นจุดจบ

ยิ่งเรียนยิ่ง ไม่ครบ ตามประสงค์

เป็นเฮโรอีน สำหรับปราชญ์ ที่อาจอง

อยู่ในกรง ปรัชญา น่าเอ็นดูฯ

 

 

พุทธศาสนา
ศาสนาแห่งการบังคับตัวเอง

เมื่อกล่าวสรุปให้สิ้นเชิง ในแง่แห่งการกระทำ หรือ การปฏิบัติแล้ว "พุทธศาสนาคือ ศาสนา แห่งการบังคับตัวเอง": มิใช่ศาสนา แห่งการ อ้อนวอน พระเป็นเจ้า ผู้มีอำนาจ หรือ เป็น ศาสนา แห่ง การแลกเปลี่ยน ทำนอง การค้าขาย ทำบุญ ทำทาน แลกนางฟ้า ในสวรรค์ หรือ อะไรทำนองนี้ แต่ประการใด เลย และ เพราะ ความที่พุทธศาสนา เป็น ศาสนา แห่ง การบังคับตัวเอง โดยมีเหตุผล เพียงพอ แก่ตนเอง จึงได้ชื่อว่า เป็น "ศาสนา แห่ง เหตุผล" ด้วย

พุทธศาสนา คือคำสั่งสอน อันเป็นแบบฝึกหัด บังคับตนเอง แต่ว่า ลำพังคำสั่งสอน อย่างเดียว หาใช่เป็น แก่น หรือ เป็นตัว พุทธศาสนา อันแท้ไม่ แม้ว่า คำว่า "ศา สนา" จะแปลว่า คำสอน ก็ตาม ตัวศาสนาแท้ หรือ ตัวพรหมจรรย์ นั้น ได้แก่ การปฏิบัติ ตามคำสั่งสอน นั้นๆ ซึ่งเรียกโดย ภาษาศาสนาว่า สีลสิกขา - จิตตสิกขา - ปัญญาสิกขา

พุทธมามกะ เป็นอันมาก เข้าใจว่า "สิกขา" ตรงตามรูปศัพท์ เกินไป คือ สิกขา แปลตามรูปศัพท์ ว่า การศึกษา แต่พระพุทธองค์ ตรัสไว้ เป็นหลัก ว่า การศึกษาเล่าเรียน ปริยัตินั้น ไม่ใช่ สิกขา แต่ การกระทำจริงๆ ตามหลักที่เป็น การบังคับตนเอง ในส่วนที่เป็น ความ เสื่อมเสีย ทางกาย และ วาจา เรียกว่า "สีลสิกขา" ในส่วนใจ เรียกว่า "จิตตสิกขา" และ ในส่วนที่เกี่ยวกับ ความคิดนึก เพื่อรู้สิ่งที่ชีวิต จะต้องรู้ เรียกว่า "ปัญญาสิกขา"

ในส่วน สีลสิกขา โดยประเภท คือ การบังคับตน ให้ตั้ง หรือดำเนิน ไปด้วย กาย วาจา ตามกฏ อันเป็นระเบียบ มรรยาท หรือ จรรยา อัน ตนจะ พึงประพฤติ ต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และ ต่อวัตถุสิ่งของ อันเกี่ยวเนื่องกัน เป็นข้อบังคับตายตัว ในเบื้องต้น เรียกว่า ปาฏิโมกขสังวรสีล [มีหลายพวก เกี่ยวกับ ขนบธรรมเนียม ของนักบวช ก็มี เกี่ยวกับ อนามัย ของร่างกาย ก็มี เกี่ยวกับการเคารพ ปฏิสันถาร ปรนนิบัติ ฯลฯ ผู้อื่น ก็มี เกี่ยวกับ การรักษาสิ่งของ เครื่องใช้สอย ของตน หรือ หมู่ ก็มี และยังมีอย่างอื่นอีก ซึ่งเป็นส่วน ต้องรู้แล้ว ทำในเบื้องต้น อนุโลม ทำนองเดียวกัน ทั้งฆราวาส และบรรพชิต ] การควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ให้ กำเริบ ไปตาม รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันเป็นโลกธรรม เรียกว่า อินทรียสังวรสีล การควบคุมตน ให้มีการ แสวง การรับ การบริโภค ปัจจัย เครื่องอาศัย อันจำเป็น แก่ชีวิต อย่างบริสุทธิ์ จากการ หลอกลวงตน และผู้อื่น เรียกว่า อาชีวปาริสุทธิสีล และ การควบคุมตน ให้มีสติระลึก เพียงเพื่อยัง อัตตภาพ ให้เป็นไปในการบริโภค ปัจจัยนั้นๆ ไม่บริโภค ด้วยตัณหา เรียกว่า ปัจจยสันนิสสิตสีล รวมเรียกว่า ปาริสทธิศีลสี่ หรือ จตุปาริสุทธศีล เรียก ภาวะแห่ง การกระทำจริงๆ ตามนี้ว่า สีลสิกขา อันได้แก่ การบังคับตัวเอง โดยตรง เป็นเหมือน ถากโกลน กล่อมเกลา ในขั้นต้น แต่ประสงค์เฉพาะส่วน ที่เป็นไป ทางกาย และวาจา เท่านั้น

ในส่วน จิตตสิกขา คือ การบังคับจิตของตน ให้อยู่ในวง ความต้องการ ของตน ภายใน ขอบขีด ของวิสัย ที่บังคับได้ คือ ให้หยุดแล่น ไปตามความกำหนัด พยาบาท หรือ ไม่ให้ง่วงซึม ฟุ้งซ่าน ง่อนแง่น คลอนแคลน รวมความว่า ฝึกจนดีพอ ที่จะต้องการ ให้หยุดคิด ก็หยุด ให้คิดก็คิด ให้คิดเฉพาะสิ่งนี้ ก็คิดเฉพาะสิ่งนี้ ด้วยกำลัง ของจิตทั้งหมดอย่างเต็มที่ โดย ไม่กลับกลอก แต่อย่างใด การ พยายามฝึก จนทำได้อย่างนี้ เรียกว่า จิตตสิกขา ซึ่งเมื่อมีแล้ว ทำจิด ให้สงบอยู่ใน อำนาจ ได้ ต่อนั้น ก็ใช้เป็น อุปกรณ์ แก่ ปัญญาสิกขา อย่างจำเป็นยิ่ง

ในส่วน ปัญญาสิกขา คือ การควบคุมจิต ที่ฝึกจน อยู่ในอำนาจแล้ว นั้น ให้คิดแล้วคิดอีก จนแทงตลอด ในข้อปัญหา ของชีวิต หรือ ที่จำเป็นแก่ชีวิต โดยย่อ คือ ปัญหาที่ว่า อะไรเป็น เหตุให้เกิดทุกข์ ทำอย่างไร จึงจะพ้นทุกข์ ทั้งนี้ เพราะเหตุว่า สิ่งทั้งปวง รวมทั้ง ทุกข์สุข ของชีวิต เป็นเรื่องของใจ คือ ทุกข์ เพราะใจปลงไม่ตก ในสิ่งที่ตน เข้าใจผิด แล้ว หลงยึดถือไว้ จะสุขได้ ก็ด้วยบังคับ แนวของ ความคิด อย่างแรงกล้า ให้แล่นไปอย่างรู้แจ้งแทงตลอด จนปลงตก ในสิ่งที่ตน ยึดถือ ถึงกับรัก โกรธ เกลียด กลัว มัวเมา ฯลฯ นั้นๆ เสีย โดยไม่มี เชื้อเหลือ เพื่อความเป็นเช่นนั้น อีกต่อไป การพยายาม ทำจนทำได้ เช่นนี้ เรียกว่า ปัญญาสิกขา ซึ่งมีบริบูรณ์ แล้วก็จบกิจ แห่งพรหมจรรย์ จบพรหมจรรย์ คือจบศาสนา ไม่มีเรื่องที่จะต้องทำอีกต่อไป นอกจาก การเสวยสุข

โดยนัยนี้ จะเห็นได้ว่า พุทธศาสนา คือศาสนา แห่งการ บังคับตัวเอง ถ้าหมายถึง คำสอน ก็คือ คำสอน แห่งการ บังคับตัวเอง ถ้าหมายถึง การทำ หรือ การปฎิบัติ ก็ คือ การกระทำ การบังคับตัวเอง และ เมื่อหมายถึง ผลสุดท้าย คือปฏิเวธ ก็คือ ซึมซาบรส แห่งผลของ การบังคับตัวเอง อันเดียวกัน นั่นเอง เมื่อเรียน หรือ เมื่อทำ หรือ เมื่อได้รับผล ของการทำ ก็มีเหตุพร้อมพอ ที่จะให้ตน เชื่อถือ มั่นใจตนเองได้ โดยไม่ต้องเชื่อ ตามคำผู้อื่น จึงเป็นการบังคับตัวเอง อย่างมีเหตุผล ของตนเอง โดยตนเอง เพื่อตัวเอง อย่างที่เป็นอัน แน่ใจได้ว่า ไม่เป็น ศาสนา แห่งความโง่เขลา ถึงกับต้องการ ล่อหลอก หรือ ขู่เข็ญ อย่างใด แม้แต่น้อย

 ลัทธิศาสนาบางลัทธิ หวังความช่วยเหลือ จากผู้อื่น จนไร้หลัก แห่งการช่วยตนเอง ไฉน จะมีการบังคับตัวเอง บางลัทธิ มีการบังคับตัวเอง แต่ไร้เหตุผล เพราะเป็นเพียง การนึกเอา อย่างตื้นๆ หรือเป็นการเดา จึงเลยเถิด เป็น อัตตกิลมถานุโยค ไปก็มี ที่อ่อนแอ เอาแต่ความสนุกสบาย กลายเป็น อย่างที่เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค ก็มี จึงแปลกกับ พุทธศาสนา ซึ่งมีหลักการ บังคับตัวเอง อย่างมีระเบียบ เรียบร้อย ชัดเจน มั่นคง ปรากฏ เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ อัฏฐังคิกมรรค และมีเหตุผล พร้อมอยู่เสมอ เป็นอันกล่าวได้ว่า พุทธศาสนา คือ ศาสนา แห่งการบังคับตัวเอง ชนะตัวเอง เชื่อตัวเอง พึ่งตัวเอง ฯลฯ โดยแท้

เนื้อความเท่าที่บรรยายมาแล้วนี้ เป็นเพียงมุ่งให้ผู้อ่าน มองเห็น จุดสำคัญ อันเป็นท สรุปรวมใจความ ของธรรมบรรยาย อันกว้างขวาง ลึกซึ้ง ดุจมหาสมุทร เท่านั้น คือว่า เมื่อมีหลัก ก็ไม่ฟั่นเฝือ รู้อะไรเพิ่มเติม เข้ามาอีกเท่าไร ก็ไม่งงเงอะ จนไม่รู้ว่าจะจำไว้ อย่างไรไหว แต่อาจสงเคราะห์ รวมเข้าชั้น เข้าเชิง ของหลักธรรม ซึ่งที่แท้ ก็มีอยู่เพียง ๓ คือ ศึล สมาธิ ปัญญา เท่านั้นเอง จึงเมื่อถ้า ยังไม่เข้าใจ ในส่วนไหน ก็พึงศึกษา ค้นคว้า จากเนื้อความ ที่ได้บรรยาย ในที่อื่น เฉพาะส่วนนั้น สืบไปเทอญ

 

พุทธทาสภิกขุ

๒๗ กันยายน ๒๔๗๘

 
BACK NEXT

 

คัดจาก หนังสือ ชุมนุมเรื่องสั้น พุทธทาสภิกขุ  พิมพ์ ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๓๘ โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ