Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!


ประสบการณ์ในการเดินทางมาศึกษาต่อยังต่างประเทศ
(27 ม.ค. 47)


กระทู้นี้โพสต์เป็นครั้งแรกเมื่อ 11 ตุลาคม 2544 ครับ ผ่านมา 2 ปีกว่าแล้ว
จะได้ลองเปรียบเทียบกันดูว่าความคิดเห็นตอนนั้นกับตอนนี้แตกต่างกันอย่างไร
นอกจากนี้ผมยังได้รวบรวมประสบการณ์ของท่านอื่น ๆ ที่เข้ามาร่วมโพสต์ในกระทู้นั้นด้วยครับ
ซึ่งตอนนี้ไม่ค่อยได้เห็นนามแฝงของหลาย ๆ ท่านในห้องหว้ากอแล้วครับ…

จุดประสงค์ของกระทู้นี้ก็เพื่อเล่าถึงประสบการณ์หลาย ๆ อย่าง ที่คิดว่าน้อง ๆ และหลาย ๆ ท่าน ที่วางแผนจะมาศึกษาต่อต่างประเทศอาจจะสนใจและจะได้เตรียมตัว เตรียมใจไว้ครับ การเตรียมตัวแบบทั่ว ๆ ไปนั้น ก็คงจะหาข้อมูลอ่านได้ง่ายครับ แต่ที่่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์เกี่ยวกับผู้คนต่างประเทศในด้านไม่ค่อยดีครับ ซึ่ง จะรวมถึงเรื่องของการเหยียดสีผิว และความปลอดภัยของการเดินทางในเวลากลางคืน ที่ผมได้ผมประสบเจอมาเอง หากท่านอื่น ๆ มีประสบการณ์ที่น่าสนใจก็ช่วยเสริมเล่าสู่กันฟังด้วยนะครับ โดยทั่วไปไม่ค่อยจะมีใครพูดถึงด้านลบของการเดินทางมาศึกษาต่อต่างประเทศกันเท่าไรครับ มักจะพูดถึงแต่ด้านบวกกันเป็นส่วนใหญ่ จะด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากขู่ให้เด็กกลัว หรืออยากจะแสดงให้คนที่ไม่ทราบเห็นว่ามาศึกษาต่อต่างประเทศล้วนแต่เป็นสิ่งดีก็ตามที แต่ก่อนที่ทุกท่านจะได้อ่าน ผมคงต้องทำความเข้าใจก่อนครับว่า ส่วนใหญ่แล้วประสบการณ์ที่นี่ก็ค่อนข้างดี ผู้คนก็เป็นมิตร เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือดี อุปกรณ์สื่อการศึกษาก็ทันสมัย แต่ก็อย่างที่ทุกท่านทราบว่า คนไม่ดี ก็มีอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน และคงต้องย้ำว่าจุดประสงค์ในการเล่าไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดอคติต่อชาวต่างประเทศครับ เพียงแต่เป็นประสบการณ์หลาย ๆ อย่างที่ผมได้ประสบมา

11 ตุลาคม 2544

ผมมาศึกษาที่นครซิดนีย์ ออสเตรเลียด้วยทุนของรัฐบาลไทยนานแล้วครับ (กระทรวงวิทยาศาสตร์ สาขาวิศวกรรมกระบวนการชีวภาพ) ตั้งแต่สมัยยังไม่มีอินเตอร์เน็ตเลย แถมค่าโทรศัพท์จากออสเตรเลียมาเมืองไทยก็ยังแพงอื้อซ่า นาทีละเกือบ 30 ถึง 40 บาทได้มั้งครับ ยังดีที่ตอนนี้ลดลงไปมากเหลือแค่ 6 - 10 บาทเท่านั้น (แต่ค่าโทรศัพท์จากเมืองไทยมาออสเตรเลียก็ยังแพงเหมือนเดิมเลยครับ ผมละไม่เข้าใจจริง ๆ) ก่อนที่จะมานีก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่จะไปศึกษาต่อต่างประเทศเหมือนกัน แต่ไปสหรัฐมั้งครับ เล่าให้ฟังว่า มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่ไปอยู่สหรัฐถูกฝรั่งด่าขณะนั่งอยู่บนรถเมล์ เพียงแค่เพราะเป็นคนเอเซีย ตอนแรกที่ผมได้ยินก็ยังสงสัยว่าถ้าเราไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาจะด่าทำไม มาตอนหลังถึงได้ทราบว่า คนที่เกลียดนั้น ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเลยครับ เกลียดเพราะความเป็นคนเอเซียนี้แหละครับ หรือเกลียดที่ได้ยินเราคุยกันเป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษเป็นต้น

ความเกลียด (Hate or Hatred) ที่ว่านี้เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยได้เห็นในเมืองไทยครับ ก่อนที่จะมาต่างประเทศผมยังไม่เคยเห็นมีกรณีอย่างนั้นในเมืองไทยเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง (หวังว่าคงไม่เป็นอย่างนี้) ระดับของการเกลียดก็มีหลายระดับครับ ตั้งแต่การว่าด้วยวาจา จนถึงการทำร้ายร่างกาย (ซึ่งอย่างหลังนี่ไม่ค่อยได้เห็นครับ ผมอยู่มาเกือบสิบปี ได้ยินข่าวสักสองสามกรณีมั้งครับ)

29 มกราคม 2547

ถึงวันนี้ค่าโทรศัพท์ก็ยังถูกเหมือนเดิมครับ บริษัทโทรศัพท์เกิดขึ้นมากมายแข่งขันกันจนตอนนี้มีไม่รู้กี่บริษัท บริษัทของคนไทยเองก็มีครับ เรื่องอินเตอร์เนทเดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วเพราะการเข้าถึงสะดวกรวดเร็วมาก หลายปีผ่านไปสถานการณ์ที่ออสเตรเลียยังไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง แต่ข่าวคราวจากเมืองไทยในช่วงเวลานี้ก็ทำให้หดหู่ใจ ไม่ว่ากรณียกพวกตีกันของเด็กนักเรียน กรณีฆ่าพระสงฆ์ในภาคใต้ กรณีปล้นโทรศัพท์มือถือบนสะพานลอยและทำร้ายเจ้าทรัพย์จนบาดเจ็บสาหัส กรณีข่มขืนต่าง ๆ …..คำกล่าวที่ว่า “ถึงบ้านเราจะไม่เจริญเท่าเขา แต่ทางด้านจิตใจคนของเราดีกว่า” ดูจะห่างเหินจากความเป็นจริงในสังคมไทยปัจจุบันไปทุกที ทุกที…

11 ตุลาคม 2544

สำหรับเด็กฝรั่งนั้น คนที่ดีก็ดีจริง ๆ ครับ แต่คนที่ไม่ดีนี่ก็ไม่ดีอย่างหาอะไรเปรียบไม่ได้จริง ๆ เพราะการเลี้ยงดูอย่างเปิดความคิดเห็นอิสระกล้าแสดงออก และลดระดับความสำคัญของระบบอาวุโส ก็มีช่องโหว่ที่จะสร้างคนชั่วให้เกิดขึ้นได้ เพราะเด็กที่มีปัญหาของฝรั่งนั้นบอกตามตรงครับว่าควบคุมไม่ได้เลย พวกนี้นอกจากจะไม่เชื่อฟังแล้ว ยังก่อความรุนแรง ถึงขั้นยกพวกเข้ารุมทำร้ายอาจารย์ใหญ่ (Principal) ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในซิดนีย์เป็นต้น ปัญหาเรื่องเด็กวัยรุ่นในเมืองไทยที่กำลังเป็นปัญหาในขณะนี้นั้น ก็เอาอย่างของเมืองนอกนี่แหละครับ ที่นี่เป็นปัญหาจนไม่เป็นปัญหาอีกแล้ว เขาถือว่าเป็นรูปแบบการดำเนินชีวิตอย่างหนึ่งก็เท่านั้นเอง และก็ไม่ได้ ถือเป็นปัญหาสังคมอะไร การกอดจูบลูบคลำในที่สาธารณะเป็นสิ่งธรรมดามาก ใครอยากทำอะไรก็ทำไป ไม่มีใครสนใจ และคนที่สนใจเห็นว่าเป็นสิ่งไม่ดีจะถูกด่าด้วยซ้ำนะครับว่ามาจุ้นเรื่องของคนอื่น แม้ว่าคนที่ว่านี้จะเป็นผู้ใหญ่มีอายุที่ไม่ใช่พ่อแม่ ไปว่าเด็กวัยรุ่นก็ตามที ที่นี่นั้นบอกตามตรงครับว่าผู้ใหญ่ (ที่ไม่ใช่ตำรวจ) กลัวพวกเด็กวัยรุ่นมาก ผมเคยไปอยู่ในเหตุการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเหิมเกริมของเด็กวัยรุ่นพวกนี้ ตอนโดยสารอยู่บนรถประจำทาง พูดคำหยาบคายต่าง ๆ แถมไม่ได้พูดธรรมดาด้วยนะครับตะโกนอีกต่างหาก ซ้ำยังพูดกันเองอีกด้วยว่า อยากพูดยังไงก็ได้ คนที่นั่งโดยสารอยู่นี่ไม่กล้าทำอะไรหรอก ดีไม่ดีจะนิยมชมชอบอีกต่างหาก มีฝรั่งสูงอายุคนหนึ่งในรถซึ่งอดทนฟังไม่ได้เพราะภาษาที่ใช้แสนจะหยาบคายเหลือเกิน ลุกขึ้นบอกให้หยุดพูด เด็กพวกนี้ไม่ได้มีความเกรงกลัวใด ๆ เลยครับ พูดว่าเป็นใคร ไ_แก่มีปัญหาอะไรก็มาฉะกันได้ ทำนองนี้ แสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีความเคารพยำเกรงใด ๆ ต่อผู้อื่นเลย

อีกกรณีหนึ่งคือการทำร้ายผู้อื่นเพียงเพราะตนเองอยากทำ ซึ่งผมได้พบมาสองครั้งขณะนั่งอยู่บนรถโดยสารประจำทาง ครั้งหนึ่งราว ๆ บ่ายสี่โมงเย็นเมื่อสี่ปีที่แล้ว ฝรั่้งออสซี่ซึ่งเป็นคนขับรถเมล์ เขาก็จอดรถรับผู้โดยสารตามปกติ หลังจากที่ผู้โดยสารเริ่มเต็มรถแล้วเขาก็กำลังจะเลี้ยวรถออกถนน ทันใดนั้นก็มีชายนิโกรกล้ามเป็นมัด ๆ กระโจนขึ้นบนรถแล้วต่อยใส่หน้าคนขับรถเมล์อย่างแรง แล้วก็เดินผละออกไปจากรถหน้าตาเฉย ไม่ได้วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วแต่อย่างใด ส่วนคนขับก็หน้าโชกไปด้วยเลือด โทรศัพท์กลับไปที่ศูนย์รถ และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้โดยสารในรถก็ได้แต่ตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ครั้งที่สอง (เมื่อสองปีที่แล้ว) ขณะที่นั่งอยู่บนรถประจำทางในตัวเมืองซิดนีย์ (ขอนอกเรื่องนิดนึงครับ ว่าระบบขนส่งมวลชนของที่นี่ดีมาก ๆ เขาเปลี่ยนรุ่นรถเมล์ทุก ๆ ปี ตอนนี้เหมือนกับนั่งรถทัวร์เลยครับ กระจกรอบรถบานใหญ่มากเพื่อให้เห็นวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองได้เต็มที่) ตอนที่รถกำลังจอดรอให้ผู้โดยสารขึ้นมา ก็มีชายนิโกร (ไม่รู้คนเดิมหรือเปล่า แต่ตัวใหญ่มาก) เดินมาข้าง ๆ ตัวรถ ส่วนที่เป็นกระจก แล้วหันมามองผู้โดยสารในรถแล้วก็ตบกระจกรถอย่างแรง แล้วก็เดินผละไปเฉย ๆ

กรณีข้างต้นคือส่วนที่เป็นข่าว หรือไม่ค่อยได้เกี่ยวข้องกับตัวผมเอง เพียงแต่ไปอยู่ในเหตุการณ์ กรณีที่เกิด ขึ้นกับตัวเองก็มีอยู่สี่ครั้งด้วยกันครับ สองครั้งแรกไม่หนักเท่าไร แต่สองครั้งหลังนี่ค่อนข้างจะรุนแรงหน่อย ครับ ครั้งแรกนี่อยู่ดี ๆ ก็ถูกตะโกนด่าขณะยืนรอรถเมล์ แถมมีสองเวอร์ชั่นให้อีกต่างหาก (คนที่ด่าเป็นฝรั่ง ปั่นจักรยานผ่าน) เวอร์ชั่นแรกนี่ด่าเป็นภาษาจีนเพราะนึกว่าผมเป็นคนจีนแต่พอเห็นฟังไม่รู้เรื่องก็มีแปลเป็น ภาษาอังกฤษให้อีกต่่างหาก หรือบางทีกำลังเดินกลับบ้านอยู่ ก็มีพวกแก็งค์วัยรุ่นขับรถผ่านมาแล้วก็ตะโกน ใส่ให้ตกใจเล่นก็มี ครับนั่นคือกรณีปกติ ถ้าโดนก็ไม่แปลกใคร ๆ ก็โดนกันประจำ ครั้งที่สองถึงสี่นี่เกิดขึ้นในช่วง ที่ต้องทำ lab และต้้องเดินกลับบ้านในช่วงเที่ยงคืนถึงตีห้านี่แหละครับ พูดถึงเวลานี่ก็ตีห้าครึ่งแล้ว ช่วงหลัง ตีห้านี่ค่อนข้างจะปลอดภัยครับ ไม่ต้องเป็นห่วงเท่าไร ใครที่ไม่เคยมาอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศทาง ตะวันตกนี่คงไม่ทราบหรอกครับว่าตอนกลางคืน ถนนเปลี่ยวขนาดไหน เพราะที่นี่นอกจากคนจะน้อยมาก ๆ แล้ว ธุรกิจร้านค้าต่าง ๆ ก็ปิดทำการกันเร็วมาก ไม่มีร้านไหนที่เปิดเกินสี่ทุ่มเลยครับ...

ครั้งที่สองตอนที่ผมอยู่ที่ North Bondi (ใกล้ Bondi Beach ที่เขาว่ากันว่าเป็นหาดทรายสวยที่สุดในออสเตรเลีย) ต้องเดินกลับบ้านในช่วงกลางคืนในวันนั้นเพราะไม่มีรถเมล์ ตอนกำลังรอข้ามถนนที่สี่แยก ก็มีรถของพวกวัยรุ่นมาจอดติดไฟแดงพอดี พอเห็นเราเข้าก็ท้าทายต่าง ๆ นานา ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ แต่พอรถออกเท่านั้นแหละครับ ก็ปาแก้วน้ำแข็งใส่น้ำอัดลมใส่เลย นั่นคือเหตุการณ์เมื่อสามปีที่แล้วครับ ครั้งที่สามนี่ก็เป็นช่วงกลางคืนอีกครับ สมัยอยู่ North Bondi เมื่อสองปีที่ผ่านมา ปกติถ้าผมต้องกลับตอนกลางคืนก็จะพยายามไปอยู่ที่ ๆ มีคนพลุกพล่าน เพราะจะปลอดภัยกว่า คืนนั้นที่ป้ายรถเมล์ผมก็เห็นมีคนอยู่เกือบ 15 คนได้ ในใจก็คิดว่าคืนนี้คง OK แล้วก็เดินไปที่ป้ายรถเมล์นั้น แต่พอเดินไปถึงกลุ่มคนที่รอรถอยู่เท่านั้นแหละครับ ถึงได้ทราบว่าตัดสินใจผิดซะแล้ว เพราะพวกนี้เป็นแก็งค์พวกวัยรุ่น ทั้งแก็งค์เลยมีทั้งฝรั่งออสซี่และเด็กชาวเอเซีย มีเด็กผู้หญิงฝรั่งอยู่สักสองสามคนได้ ที่เอะใจได้ ก็เพราะพฤติกรรมของพวกเด็กผู้หญิงนี่แหละครับ ที่ทำตัวเป็น "ผู้หญิงของกลุ่ม" คือตอนแรกก็กอดจูบกับคนหนึ่ง แล้วก็ให้อีกคนหนึ่งลูบคลำด้วยที่ป้ายรถเมล์นั่นแหละครับ และในกลุ่มนี้ก็จะมีวัยรุ่นชายอยู่คนหนึ่งในกลุ่มที่จะระรานคนอื่นไปทั่ว เราก็ยืนของเราอยู่ดี ๆ ก็เข้ามาผลัก แต่เราจะพูดทำอะไรตอบโต้มากก็ไม่ได้เพราะถือว่าพวกมาก ก็พอดีรถเมล์์มาจอด เหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นหลังจากที่ขึ้นรถเมลไปแล้วนี่แหละครับ เด็กวัยรุ่นชายคนเดิมก็หาเรื่องผู้โดยสารอื่น ๆ ในรถเมล์ไปทั่ว ถึงขั้นชกต่อยกับผู้ชายวัยกลางคนบนรถเมล์จนคนขับรถต้องหยุดและโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะพวกแก็งค์วัยรุ่นมีจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องนำรถ Van มาสองคัน ตอนที่ตำรวจยังไม่มาพวกวัยรุ่นก็รู้ตัวแล้วว่าตำรวจจะมาแน่ ๆ ก็พยายามจะลงจากรถ แต่คนขับไม่เปิดประตุูให้ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาเร็วดีเหมือนกันครับ ประมาณ5 นาทีก็มาถึงจุดที่รถโดยสารจอดอยู่ พอคนขับเปิดประตูจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้น เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งก็พยายามขโมยกระเป๋าของคนขับรถเมล์ กะจะฝ่าวงล้อมตำรวจออกไป แต่ก็หนีไปไม่พ้นถูกตามตระครุบตัวได้หมดทุกคน...

สำหรับครั้งที่สี่ (หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายครับ) อันนี้เพิ่งเกิดเมื่อสองเดือนที่แล้วนี้เอง ทั้ง ๆ ที่ย้ายบ้านจาก North Bondi (รถเมล์สองต่อใช้เวลาประมาณ 30 นาที) ให้มาอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยใช้เวลาเดินถึงบ้านประมาณ 10 นาที เท่านั้น แต่ก็ยังโดนจนได้ ในช่วงนั้นถ้าท่านที่อยู่ออสเตรเลียยังจำได้ เป็นช่วงที่อัตราอาชญากรรมในนครซิดนีย์เพิ่มขึ้นสูงมากอย่างผิดปกติ ทุกครั้งที่ผมโดนนี่จะโดนวันศุกร์ทุกที และก็ไม่พ้นในครั้งนี้ครับ ปกติถ้าต้องเดินกลับบ้านตอนกลางคืนนั้น ถ้ามองเห็นฝ่ายที่สวนมามีมากกว่า 2 คนผมจะเดินข้ามไปอีกฝากหนึ่งของถนน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ขณะที่กำลังเดินอยู่ก็มีฝรั่งออสซี่กับชาวเลบานีส (Lebanese, ผู้อพยพชาวเลบานอนจากตะวันออกกลางที่ลี้ภัยสงครามมาอยู่ในออสเตรเลีย แต่คนนี้ก็ดันมาเป็นโจรที่นี่แทน) เข้ามาประกบ และบอกให้ส่งโทรศัพท์มือถือมา ซึ่งวันนั้นผมก็ไม่ได้มีติดตัว ก็บอกไปตรง ๆ ว่า "I don't have it" สิ้นเสียงว่าไม่มีก็โดนชกหน้าเลยครับ เพราะโดนแบบไม่ทันตั้งตัว ก็เสียหลักล้มเอาหลังลง แต่ก็โชคดีมีฝรั่งออสซี่พลเมืองดี ขี่รถมอเตอร์ไซต์ผ่านมาเห็นเข้าพอดี ก็ตะโกนขึ้น สองคนนั้นก็วิ่งหลบหนีไป ก็เกือบไปเหมือนกัน นับว่าโชคยังดีที่ไม่ได้เสียทรัพย์สินหรือได้รับบาดเจ็บมาก วันรุุ่งขึ้นก็ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไร ตำรวจไม่ได้ถือว่าเป็น Robbery แต่เป็น Aggravate Assault แทน หลังจากที่ผมโดนช่วงนั้น ก็มีนักศึกษามหาวิทยาลัยโดนดักปล้นแบบเดียวกัน อีก 3 - 4 ราย บางรายก็โดนตอนบ่าย โดยโจรเอามีดกับเข็มฉีดยาใส่เลือดมาจี้บังคับ โดยดักรอที่ตู้ ATM ให้เบิกเงินออกมาจ่ายให้เลย มีคนหนึ่งถอนเงินให้โจรไป 10,000 บาท แถมยังขู่ทับอีกด้วยว่าอย่าเอาไปบอกตำรวจเพราะรู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหนอีกต่างหาก

ผมมานึกย้อนกลับแล้วก็ให้คิดว่าอยู่บ้านเรายังไม่เคยโดนอย่างนี้เลย กลับมาโดนเมืองฝรั่งแทน

ที่ผมโดนครั้งที่สี่นี่เป็นย่าน Randwick ของ UNSW (University of New South Wales) ครับ เรื่องที่พักอาศัยถ้าจะให้ปลอดภัยมากขึ้น ก็ควรจะอยู่ให้ใกล้มหาวิทยาลัยมาก ๆ ครับ และถ้าจะกลับดึกก็ควรจะมีเพื่อนเดินกลับด้วย จะไปไหนมาไหนก็ควรจะไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ จะทำให้ปลอดภัยยิ่งขึ้นไม่อย่างนั้นก็เอากระเป๋าเงินต่าง ๆ เก็บไว้ที่มหาวิทยาลัย แล้วเดินกลับตัวเปล่าเลยครับ

29 มกราคม 2547

หลังจากเหตุการณ์ช่วงปลายปีนั้นแล้ว อีกไม่กี่เดือนต่อมาโจรสองคนนี้ก็ถูกจับได้ (เขาโพสต์รูปภาพลงในวารสารมหาวิทยาลัยด้วยครับ เพราะสองคนนี้ยังไปก่อเหตุอีกหลายครั้ง) และจะสังเกตเห็นรถตำรวจและรถ security ของมหาวิทยาลัยวิ่งกันขวักไขว่มากขึ้น ทำให้พออุ่นใจได้บ้างครับ แต่กรณีชิงทรัพย์แถวมหาวิทยาลัยก็ยังมีเสมอ ๆ ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายราย เบาบ้าง หนักบ้าง ทั้งคนไทยและคนเอเซียชาติอื่น ๆ ฝรั่งก็มีแต่ไม่ค่อยได้ยินเท่าไรครับ กระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้ว พบศพนักศึกษาชาวสิงคโปร์สองคนถูกฆ่าตายในอพาร์ทเมนต์ที่ตั้งอยู่บนถนนเดียวกับที่ผมถูกกรรโชกทรัพย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจรายงานในชั้นต้นว่าอาจเป็นกรณีที่ฆ่ากันตายเอง แต่ใครฟังรายงานแล้ว (โดยเฉพาะคนเอเซีย) ก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าไร เพราะสองคนนี้ใกล้จบการศึกษาแล้วและมีภรรยาอยู่ในสิงคโปร์ทั้งคู่ ภายหลังมีข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนเพิ่มเติมสักพัก แล้วก็เงียบหายไป ส่วนครอบครัวของทั้งสองคนนั้นได้รับใบปริญญาจบการศึกษาที่ทางมหาวิทยาลัยให้เป็นพิเศษไปแทน…

เรื่องของการถูกปล้นชิงทรัพย์นั้นเรื่องไม่แปลกในสังคมนักศึกษาเอเซียครับ ไปคุยกับใคร คนนั้นก็มีเรื่องเล่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดกับเพื่อนหรือเกิดกับตัวเอง

11 ตุลาคม 2544

ประสบการณ์ที่ป้ายรถเมล์นี่มีหลายอย่างเลยครับ แบบที่แปลก ๆ ก็มี ช่วงปลายปีี 1999 (วันสิ้นปีราว ๆ สี่ทุ่ม) ผมกำลังรอรถเมล์ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ก็มีีสาวออสซี่สองคนเดินผ่่านมา แล้วคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา เรียกให้เงยหน้าขึ้น แล้วก็จูบครับ หลังจากนั้นก็บอก "Happy New Year" แล้วก็เดินผ่านไปเฉย เราก็ได้แต่มองตาปริบ ๆ อย่างนี้ก็มีด้วยครับ

ตอบความคิดเห็นของคุณ ks ครับ

Paddy market ยังเปิดทำการครับ (อาจเป็นได้ทีมีช่วงหนึ่งปิดเพื่อปรับปรุงครับ) ทุก ๆ วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ ซึ่งหลาย ๆ คน โดยเฉพาะคนเอเซียจะนิยมไปซื้ออาหารสดครับ เพราะถูกมาก เคยมีครั้งหนึ่งผมซื้อองุ่นดำกล่องใหญ่จ่ายแค่หนึ่งดอลล่าร์ (20 บาท) เท่านั้นเองครับ แต่กินได้เป็นอาทิตย์เลยเพราะเยอะ ช่วงเย็น ๆ ก่อนที่แผงต่าง ๆ จะปิดกลับ เขาจะมีช่วงลดพิเศษ (เทียบได้กับ Midnight Sales ของที่เมืองไทยครับ) คนก็จะกรูกันเข้ามาซื้อ อาหารทะเลก็มีขายครับ โดยเขาจะเอาพวกปลาหลาย ๆ ชนิด ปลาหมึกด้วย มารวมกันมัดใส่เป็นถุง ๆ แล้วขายราคาถูกมาก ๆ...ช่วงแรก ๆ ที่ผมได้ไปถึงนั่งรถแท็กซี่ แล้วคนขับก็แนะนำว่าที่อยู่แถวBondi (อ่านว่า บอนได ครับ แต่ที่เมืองไทยเวลามีข่าวเกี่ยวกับที่นี่ซึ่งมี Bondi Beach อยู่ คนอ่านข่าวอ่านว่าบอนดี้ครับ) แต่เนื่องจากคนขับเป็นคนออสซี่ เขาก็ออกเสียงทำนองออสซี่ว่า "บนดอย" ผมได้ยินก็สงสัยว่ามีภาษาไทยปนอยู่ใน ภาษาอังกฤษได้ยังไง แถมอยู่บนดอยอีกต่างหาก !!

ตอบความคิดเห็นของคุณทอทหาร ครับ

11 ตุลาคม 2544

ผมคิดว่าหลายๆ ท่านคงรู้จัก พอลีน แฮนสัน (Pauline Hanson) อดีตแม่ค้าขายปลากับมันฝรั่งทอด ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้นำพรรคการเมืองชาติเดียว (One Nation Party) ที่มีนโยบายเหยียดสีผิว บ้างแล้วนะครับ ที่เป็นข่าวคึกโครมช่วงสองสามปีก่อน ถึงขนาดที่นักศึกษามหาวิทยาลัยจากครอบครัวชาวเอเซียหลายคน พากันเดินทางกลับประเทศ ก็เรื่องมาจากความกลัวชาวต่างประเทศที่ไม่ใช่ออสซี่ (Xenophobia) มาแย่งงานคนออสซี่ทำครับ เพราะคนเอเซียหนักเอาเบาสู้ ทำงานก็ไม่บ่นเรียกร้องมาก ที่อยู่ก็แชร์กันอยู่หลาย ๆ คน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งค่อนข้างตรงข้ามกับพวกฝรั่งที่จะทำงานวันละ 8 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่มากไปกว่านี้ ถ้ามากไปกว่านี้ก็จะต้องจ่ายเงินเพิ่มให้ ซึ่งคนเอเซียมักจะถือว่าช่วย ๆ กัน ซึ่งผู้จ้างงานจะชอบมาก แต่ก็ทำให้พวกฝรั่งออสซี่หลาย ๆ คน ไม่พอใจ กล่าวหาว่ามาแย่งงานเขาทำ....

น้อง ๆ ที่เป็นผู้หญิงหลายคน ถ้ามาเที่ยวที่ออสเตรเลียคนเดียว มักจะโดนเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองสอบถามอย่างละเอียดทุกคน ถามซ้ำไปซ้ำมาเพื่อความแน่ใจอีกต่างหาก เพราะเขากลัวว่าจะมาค้าประเวณี จึงทำให้หลาย ๆ คนโมโห ซึ่งชื่อเสียงผู้หญิงไทยในสายตาคนต่างประเทศนี่ไม่ค่อยจะดีเท่าไรครับ อย่างที่คุณทอทหารว่าเคยมีครั้งหนึ่งที่มีสิ่งตีพิมพ์โดยสมาคมนักศึกษาของมหาวิทยาลัยที่นี่ กล่าวพาดพิงไปถึง จนท่านกงศุลใหญ่แห่งนครซิดนีย์ต้องส่งจดหมายร้องเรียนมายังสมาคมนั้น ให้ขอโทษ และพิมพ์ลงวารสารฉบับต่อมาให้แสดงคำขอโทษอย่างเป็นทางการด้วย..

ที่เมืองนอกนี่เขาจะทำอาชญากรรมกันเป็นกลุ่มครับ ทำให้ตอบโต้ได้ลำบาก มากันที 5 - 6 คน อย่างนี้ก็คงสู้ไม่ไหว หรือสู้ไปก็ไม่คุ้มกัน ต้องเลี่ยงอย่างเดียวครับ...

หลาย ๆ คนที่เป็นผ้หญิง คงต้องฝึกตัวเองให้พร้อมรับสถานการณ์พวกนี้ครับ อาจต้องไปเรียนเทคนิคการป้องกันตัว หรือมีสเปรย์พ่นละอองพริกไทย (Pepper Spray) ไว้ในกระเป๋าถือ แต่ถ้าเจอสถานการณ์อย่างนี้ส่ิ่งแรกที่เขาแนะนำก็คือ ต้องทำให้พวกโจรตกใจไว้ก่อน เช่น ตะโกน หรือกรีดร้อง เป็นต้น

29 มกราคม 2547

สำหรับพอลีน แฮนสัน นั้น ภายหลังเขาถูกฟ้องร้องจากฝ่ายพรรคการเมืองตรงข้ามครับ เพราะมีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งที่ไม่ใช่ชาวออสเตรเลียนจริง ถูกปรับเป็นเงินจำนวนมาก และติดคุกด้วย แต่ภายหลังศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง ตอนนี้ฐานเสียงเขาเริ่มเยอะขึ้นอีก และกำลังฟ้องกลับศาลชั้นต้นที่ตัดสินให้มีความผิดเป็นเงินกว่าล้านเหรียญครับ

ตอบความคิดเห็นของคุณ Mr. SJ ครับ, 11 ตุลาคม 2544

เรื่องแปลก ๆ บนรถเมล์ในซิดนีย์นี่มีให้เล่ากันเยอะแยะครับ เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนบ่ายสามโมงครับ ผมขึ้นรถเมล์สายที่สอง (จาก Bondi Junction --> บ้านที่ North Bondi, สายแรกคือ จาก มหาวิทยาลัย ---> Bondi Junction) จะกลับบ้าน ทีนี้ก็มีผู้หญิงชาวออสซี่คนหนึ่งอายุราว ๆ 25 ปีได้ วิ่งมาขึ้นรถเมล์ไม่ทัน คือประตูรถปิดก่อน และคนขับก็จะเลี้ยวรถออกถนนไป ผู้หญิงคนนั้นกตะโกนบอกให้หยุด แต่เพราะคนขับออกรถไปแล้วจึงไม่ได้หยุด ถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงรอรถเมล์คันต่อไป แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมครับ วิ่งตามรถเมล์ไปข้าง ๆ จนรถติดไฟแดงที่แยกแรก ผู้หญิงคนนี้วิงไปทัน ก็ทุบประตูรถบอกให้คนขับเปิดประตู แต่คนขับไม่ยอม เพราะเขาจะจอดรับผู้โดยสารที่ป้ายเท่านั้น ว่าแล้วไม่นานก็ไฟเขียวพอดี รถก็แล่นออกไป จนกระทั่งไปติดไฟแดงที่แยกสอง ผู้หญิงคนนี้มาอีกแล้วครับ (วิ่งเร็วดีเหมือนกัน) คราวนี้มายืนขวางหน้ารถไว้เลย และบอกไว้ว่าจะไม่หลีกไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่ยอมให้ขึ้น ซึ่งคนขับก็ปฏิเสธว่าไม่ให้ขึ้น เขาก็ยืนขวางรถอยู่อย่างนั้น จนสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวก็ไม่ยอมหลีกไปไหน รถที่ตามมาด้านหลังก็บีบแตรกันลั่น คนขับเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมหลีกไปแน่ ก็โทรศัพท์เข้าศูนย์และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ พอผู้หญิงเห็นดังนั้นก็หลบไป ถึงตอนนี้ผู้โดยสารในรถก็วิพากย์วิจารณ์กันใหญ่ครับ เพราะดันทุรังดีจริง ๆ หลังจากสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถก็ออกจากแยกที่สอง ไปจอดที่ป้ายรถเมล์ถัดไป ก็ปรากฏว่าผู้หญิงคนเดิมนั่นแหละครับ มายืนรอรถที่ป้ายนั้นอยู่ พอขึ้นมาได้ก็ด่าคนขับรถใหญ่ และว่าจะฟ้องให้โดนไล่ออก พอด่าคนขับรถสาแก่ใจแล้ว ก็หันมาทางผู้โดยสาร ซึ่งทุกท่านลองคิดดูสิครับว่า ถ้าเป็นผู้โดยสารเจออย่างนั้นจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ก็จ้องน่ะสิครับ ผู้หญิงคนนี้ก็ตะโกนออกมาใส่ผู้โดยสารในรถว่า มองหน้าหาเรื่องหรือไง และยังประชดอีกว่า จริง ๆ น่ะไม่อยากขึ้นรถเมล์นักหรอก เขาขึ้นแต่แท็กซี่เท่านั้น พอรถเมล์แล่น ไปถึงป้ายถัดไปจากที่เขาพึ่งขึ้นก็ลงจากรถไป แสดงให้เห็นตัวอย่างของความเห็นแก่ตนเป็นใหญ่ที่ชัดเจนมากครับ

ความคิดเห็นของคุณ ^[6_9]^ 11 ตุลาคม 2544

I used to have similar story liked you in Thailand. Just i met bad guys He drank alcohol and rode motor bicycles crashed my arm and my watch. He stopped motor bicycles and looked me. So i walked to him, and show my arm and my watch. He said it is alright and rode away from me. My arm had some cuts and my watch is out of order. I was very angry, but i couldn`t do any things. So i gave up and kept my walk.

About 5-10 minutes, he came back with his friend. I was boxed. I didn`t fight with him. I was very lucky. My sister came and help me for him. So he rode away.

NB At that time he had a gun too, i known later. He rode to his home for taking his friend and his gun (when he rode back)

ความคิดเห็นของคุณ imf41 11 ตุลาคม 2544

ยินดีรับเพื่อนร่วมชะตากรรมครับ ผมก็เคยโดนจี้ แต่ว่าตัดสินใจวิ่งหนีและก็ที่เกิดเหตุไม่ห่างจากย่านชุมชนมาก ก็เลยไม่เป็นอะไร แต่มีคนที่รู้จักโดนอย่างผม ถูกยิงตายเลย ทั้งที่เขาก็ยอมจ่ายให้ แต่พวกโจรซึ่งถูกตำรวจจับได้ภายหลัง บอกว่าปืนลั่น ก็อยากจะบอกไว้ว่าเมืองนอกไม่ได้ดีไปซะหมดหรอกครับ อยู่ที่เมืองไทย หรือเมืองนอก ก็มีสิทธิโดนจี้ได้เหมอืนกัน

ความคิดเห็นของคุณ ks 11 ตุลาคม 2544

ผมไปทำธุระ ที่ sydney ช่วง 89-93 ปึละครั้ง ประมาณ 2-3 เดือน โดยทั่วไปจะไปเยี่ยมพรรคพวกที่ โทรองกา Zoo หรือไม่ก็ไปนอนเล่นแถวๆ National Park ใกล้ๆ Opera House. เสาร์ อาทิตย์ ก็ไปนู่น Manly Beach หรือ ไม่ก็ Lady Beach (รู้จักใช่ใหม 555?) ที่ต้องไปประจำคือ Paddy Market ไปหาซื้อถั่ว มากิน มันถูกดี เห็นบอกว่า เจ๊งไปแล้ว ตอนนั้นไม่เห็นมีปัญหาอะไรมากมายเกี่ยวกับเชื้อชาติ แต่เดี๋ยวนี้ ตามที่เล่ามา และ เพื่อน ออสฯ-เวียดนาม บอก ค่อนข้างน่ากลัว ปีที่แล้วไปทางยุโรป ก็ ยังเริ่มแย่ อันตรายเยอะขึ้น แต่ใน US ถ้าอยู่ในแถบของมหาวิทยาลัย ค่อนข้างปลอดภัย โดยเฉพาะที่ๆ ไม่ใช่เมืองใหญ่ๆ จะดีกว่าเยอะ (สิ่งเร้าใจมันน้อยกว่า มิจฉาชีพเลยไม่ค่อยมาอยู่) ตอนไป Australia ครั้งแรก แทกซี่ดันไปส่งอพาตเมนต์ ชื่อเดียวกันที่ king cross.... 5555 จำได้แม่นเลย 14 Aug 1989

ความคิดเห็นของคุณ Lazy Genius 11 ตุลาคม 2544

ที่ scotland สงบสุขดีครับ จะรําคาญก็แต่เสียงรถดับเพลิงนี่แหละ ดังทุกวัน สัญญาณเตือนเพลิงไหม้เขา sensitive มากครับ แค่ทํากับข้าวลืมเปิดหน้าต่างก็ดังแล้ว ที่อันตรายก็มีครับ แต่ก็รู้กันว่าเขตไหนอันตรายเราก็ไม่เข้าไป พลเมืองที่นี่เป็นมิตรดีครับ แค่ถามทางเขาพาไปถึงที่เลย อีกอย่างที่อันตรายคือ Celtic Vs Ranger อย่าเชียร์ผิดที่ก็แล้วกันครับ

ความคิดเห็นของคุณทอทหาร 11 ตุลาคม 2544

คุณ Practical x 2 ครับ อ่านเรื่องราวแล้ว คุณ Practical x 2 ก็ผ่านเรื่องราวระทึกใจในต่างแดนมาเยอะ ทำให้คิดว่าการอยู่เมืองใหญ่ นั้นมีความเสี่ยงสูง มากกว่าเมืองเล็ก ๆ ครับ ก็ใครที่คิดที่จะมาเรียนต่อต่างประเทศก็ต้องระวังตัวไว้บ้างนะครับ เพราะว่าต่างประเทศคงไม่สดใสโสภาไปซะทุกด้านนะครับ ผมเองเคยได้ยินเรื่องราวมาเยอะทางออสเตรเลีย ผมคิดว่าเป็นเพราะเขาเกลียดเวียดนาม ที่เข้าไปแย่งงานเขาทำน่ะครับ แต่โชคดีสมัยที่ผมไปฝึกที่ออสเตรเลีย ปี 2535 ที่ Melbourne ก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็มีแต่เรื่องเล่าว่านักเรียนไทยเคยถูกทำร้ายบนรถไฟ เพราะว่าพวก ออสซี่นึกว่าเป็นคนเวียดนาม

ปัจจุบัน ผมก็มาเรียนที่ Melbourne เหมือนกัน แต่เป็น Melbourne สหรัฐฯ ก็เป็นเมืองคนแก่ กับนักศึกษา แต่ก็มีย่านคนผิวดำเหมือนกัน ซึ่งก็ใกล้กับบริเวณมหาวิทยาลัยด้วย ก็มีข่าวว่า พวกที่อ่านหนังสือที่ห้องสมุด ดึก ๆ แล้วเดินข้ามถนนผ่านทางเปลี่ยนโดนจี้มาหลายครั้ง แต่ผมก็ไม่เคยเจอมากับตัว ที่เคยเจอก็มีสองครั้ง

ครั้งแรกก็คือมีคนผิวดำพักอยู่ที่ apartment ชั้นล่างมาขอเงิน น้องทุนกพ.คนหนึ่ง ซึ่งพักอยู่ห้องเยื้อง ๆ ห้องผม เราก็พักกันที่ชั้น 3 ตอนแรกน้องเขาก็ให้ไป พอตกดึกคนผิวดำคนเดิมก็มาเคาะห้องน้องเขาอีก เพื่อจะขอเงินอีกน้องเขาไม่รู้ทำยังไง ก็เลยลากคนผิวดำมามาหาผมที่ห้อง (สงสัยคงเห็นผมเป็นทหาร) ผมก็เลยต้องทำท่าขึงขังพูดเสียงดัง ทำหน้าตาแบบเข้าไว้ ก็คุยกันอยู่นานเขาก็ยอมไป ในใจตอนนั้นผมเองก็ไม่อยากที่จะมีเรื่องเพราะว่า ผมไม่อยากถูกส่งตัวกลับ เดี๋ยวจะเรียนไม่จบเอา ก็โล่งอกไป และ ก็วันรุ่งขึ้นผมก็โดนก้อนดินปาที่หน้าต่าง แต่ก็ไม่แตกผมก็เลยให้น้องเขาไปบอกเจ้าของ Apartment และ ก็อีกไม่นานคนผิวดำคนนี้ก็ต้องย้ายออกไป

ครั้งที่สองนั้นปัญหาที่เกิดนั้นไม่ใช่คนตะวันตก แต่เป็นคนซาอุฯ ก็มีน้องผู้หญิงช่วงที่เข้าเรียนภาษาอังกฤษ ก็เจอชาวซาอุ ฯ คนนี้ คุยเกี่ยวกับเมืองไทย และกรุงเทพ ก็ถามไปถามมาก็ถามว่า Do you like f**king? เท่านั้นแหละ น้องผู้หญิงเขาก็โมโห แต่ไม่รู้จะทำยังไง ก็วิ่งมาหาผม ตอนนั้นผมทำงานที่ Lab ตอนนั้นผมก็กะว่า จะไปเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เพราะผมถือว่าดูถูกคนไทย โดยเฉพาะผู้หญิงไทย ผมก็เลยบอก manager ของผมซึ่งเราก็สนิทกัน เขาก็บอกว่าเขาจะเอาเรื่องให้ ผมก็บอกว่า ยังไงผมก็ต้องไปพูดกับเขาให้เขามาขอโทษ น้องผู้หญิงคนนั้น เพราะถ้าไม่ขอโทษ ผมก็คงจะดำเนินการให้ถึงที่สุด manager ก็เลยบอกว่าตามใจผม แต่เขาก็จะฟ้องกับทางหน่วยงานที่คล้ายกับฝ่ายปกครองของมหาวิทยาลัยอีกทางหนึ่งด้วย ตอนแรกผมก็กังวลเหมือนกัน เพราะว่าพวกอาหรับที่มหาวิทยาลัยผมเยอะมาก และยังรวมกลุ่มกันหนาแน่น แต่ก็ทำไงได้ก็เลย ตัดสินใจไปดักรอ หน้าห้องที่เขาเรียนพอออกมาจากห้องก็เข้าไปคุย ชาวซาอุฯคนนั้นก็ไม่ยอมรับ ผมก็บอกเขาว่าที่เขาพูดออกมานั้นเป็นการดูถูกคนไทย โดยเฉพาะผู้หญิงไทย เขาก็ไม่ยอมรับ ไปโทษว่าน้องผู้หญิงเขาภาษาอังกฤษไม่ดีเลยฟังผิด ผมก็ไม่ยอมคุยไปคุยมาเลยบอกว่าผมจะรายงานทางมหาวิทยาลัย เขาก็หน้าเสีย แต่ก็ไม่ยอมรับ ในที่สุดก็แยกจากกันไป ผมก็เลยคุยกับ manager ของผมทางมหาวิทยาลัยก็เลย เรียกทุกคนไปสอบถาม ชาวซาอุ ฯ นั้นก็ไม่ยอมรับทางมหาวิทยาลัยก็ไม่รู้ทำยังไง ก็เลยทำทัณฑ์บนไว้ และก็ให้ชาวซาอุฯนั้นเขียนหนังสือขอโทษ น้องผู้ญิงมาหนึ่งฉบับ ช่วงนั้นก็คิดเหมือนกันว่าถ้าพวกอาหรับ ไม่เข้าใจหาว่าผมไประรานพวกเขา ผมคงแย่เหมือนกัน ดีว่าผมเล่าเรื่องให้เพื่อนผมที่เป็นอาหรับฟังเขาก็ไปบอกต่อ ก็ต้องระวังตัวไปพักใหญ่ ๆ ครับ

ทุกวันนี้ก็โชคดีที่ไม่เจออะไรร้ายแรงก็จะมีแต่ช่วง ที่มีเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมา ก็มีพวกนักศึกษาสรอ. ไปยืนโบกธงที่สี่แยกทางเข้ามหาวิทยาลัยกลุ่มใหญ่ ก็คิดว่าถ้าชาวอาหรับเดินผ่านก็คงจะโดนรุมแน่ ๆ และก็มีเพื่อน อาหรับคนหนึ่ง เจอตะโกนด่าขณะเดินไปขึ้นรถ แถมให้นิ้วกลางด้วย และก็มี คนหนึ่งบ้านที่พักถูกยิงด้วยปืนไปสามนัด เผอิญเมืองที่ผมอยู่ก็ไม่ไกลจากพวกที่จี้เครื่องบินพักกันนัก ห่างกัน แค่หนึ่ง ชม. แถบนี้มีพวกอาหรับอยู่กันเยอะมาก นอกจากนี้ก็มีเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว น้องที่เป็นทหารคนหนึ่งโดนขอเงินเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ให้ไป ช่วงแรก ๆ ผมก็ไม่ค่อยกลัวพวกผิวดำมาไถเงินเพราะด้วยความเป็นทหาร แต่พอช่วงหนึ่งมีเพื่อนสนิทมาเยี่ยม ทั้งสามีและภรรยา เขาก็เตือนให้ผมระวังพวกนี้ไว้เพราะว่าไม่คุ้มกัน ผมก็คิดว่าจริงอย่างนั้น ก็เลยระวังตัวมากขึ้นครับ

เรื่องราวเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นได้ในการใช้ชีวิตในต่างแดน ผมคิดว่าเราก็ต้องระมัดระวังตัวเองกันให้มาก โดยเฉพาะคนที่อยู่เมืองใหญ่ ๆ ก็จะมีความเสี่ยงสูงกว่าเมืองเล็ก ผู้หญิงก็มีโอกาสที่จะถูกคุกคามมากกว่าผู้ชาย เพราะภาพพจน์บางอย่างในบ้านเรา ทำให้เขามองไปในทางลบ เรื่องเหล่านนี้เป็นเรื่องที่คิด และเตรียมการณ์ไว้บ้างก็ดีครับ เพราะเมื่อเจอเหตุการณ์จริง ๆ เราก็สามารถที่จะเอาตัวรอดได้ อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องบอกต้วเองเสมอว่า เรามาศึกษา ถ้ามีเรื่องราวก็อาจจะไม่สำเร็จในสิ่งเรามุ่งหวังได้ ก็ขอให้ทุก ๆ ท่านในต่างแดนปลอดภัยกันทุก ๆ คน จนจบการศึกษา และกลับเมืองไทยโดยสวัสดิภาพล่ะครับ

ความคิดเห็นของคุณ Mr. SJ 11 ตุลาคม 2544

ผมก็เคยมีประสบการณ์น่าประทับใจกับที่ต่างประเทศเหมือนกัน เหตุการณ์ก็เกิดที่ Australia นี่แหละแต่เป็นที่ Perth ของ West Australia เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้เอง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความประทับใจของผมกับคนขับรถเมล์ครับ คือช่วงนั้นมีคนอพยพ(น่าจะเป็นอินโดนีเซีย) มาขึ้นฝั่งที่ตอนเหนือ วันนั้นนั่งรถเมล์กลับบ้านพักหลังเลิกงานครับ

มีผู้ชายเป็นฝรั่งคนหนึ่งอายุสัก 40 ปีเศษ ๆ ขึ้นมาบนรถ แล้วก็พูดกับผู้หญิงชราอีกคนหนึ่ง (ฝรั่งเหมือนกันซึ่งนั่งมาอยู่ก่อนแล้ว) เกี่ยวกับเรื่องที่รัฐบาลต้องดูแลผู้อพยพเหล่านี้ ซึ่งความคิดเห็นของชายคนนั้นไม่ค่อยพอใจที่รัฐบาลต้องเสียเงินมาเลี้ยงดูคนเหล่านั้น ส่วนหญิงชราผู้นั้นก็ให้ความเห็นเป็นกลาง โดยกล่าวในลักษณะว่า มันไม่ใช่ปัญหาของ Ozy อย่างเดียว แต่มีหน่วยงานอย่าง UN เข้ามาดูแลด้วย ทั้งสองคนโต้เถียงกันเป็นเรื่องเป็นราวทีเดียวครับ

มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งก็พยายามไกล่เกลี่ยโดยขอให้ฝ่ายหญิงชราหยุดโต้ตอบ แต่เธอไม่ยอม ทางคนขับรถเมล์ก็อาศัยช่วงรถติดไฟแดงหันมาปรามทั้งสองให้สงบเีงียบเพื่อเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยในการเดินทาง ทั้งสองก็ไม่ให้ความสนใจ ยังคงโต้เถียงกันต่อ

คนขับรถเมล์ก็ขับรถต่อโดยที่ทั้งสองยังคงโต้เถียงกัน ซึ่งคนขับหันมาขอให้คุณผู้ชายหยุดการโต้เถียง โดยอ้างถึงการที่เขาเป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยบนรถ จำเป็นต้องให้บริการที่ดีแก่ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ซึ่งทางผู้ชายคนนั้นก็ไม่เงียบเสียง

ทีนี้คนขับรถเมล์จอดรถเข้าข้างทาง เปิดประตูทางขึ้น มีผู้ชายอีกคนหนึ่งเดินขึ้นมา แล้วกล่าวกับผู้ชายคนต้นเรื่องว่า "คุณผู้ชายครับ กรุณาลงจากรถที่นี่ด้วย คุณสร้างความเดือดร้อน รำคาญให้กับผู้โดยสารคนอื่น" คนขึ้นมาใหม่กล่าว คนคนนี้คือคนขับรถเมล์อีกคันหนึ่ง ซึ่งวิ่งในทางสวนมา แน่นอนครับ คนขับรถเมล์ที่ผมโดยสารมาได้ิวิทยุไปแจ้งศูนย์และคนขับที่อยู่ใกล้เคียงตอบมาว่าจะเข้ามาช่วย (สองต่อหนึ่ง)

คุณผู้ชายที่ก่อเรื่องเลยขอต่อรองว่าเขาใกล้จะถึงบ้านแล้ว อีกไม่กี่ป้ายเท่านั้น ซึ่งคนขับรถทั้งสองยื่นข้อเสนอว่า เขาจะต้องสงบเงียบจึงจะโดยสารต่อไปได้ ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องลงจากรถ ซึ่งคุณผู้ชายคนนั้นตอบตกลง แล้วเหตุการณ์ก็ผ่านไปด้วยดีครับ เมื่อผู้ชายคนนั้นลงจากรถ (ป้ายเดียวกับผมด้วย) เขาเข้าไปกล่าวขอโทษกับคนขับรถเมล์ที่เขาสร้างความลำบากใจให้ ส่วนผมชูนิ้วโป้งให้คนขับว่าเขาทำหน้าที่ได้เยี่ยมจริง ๆ

ความคิดเห็นของคุณ Iron-Spider 11 ตุลาคม 2544

อยู่เมกามาปีนึง เลยมีเรื่องน้อยหน่อย ซึ่งเจอเองบ้าง ฟังมาบ้าง ก็อยากจะเล่าให้คนที่เตรียมตัวจะมาได้ฟังกันมั่งครับ เรื่องแรกนี่คือ พวกเหยียดผิวครับ อย่างที่หลายๆ คนว่าไว้แล้ว พวกนี้ถ้าไม่ผิด เขาเรียกกันว่า Red Neck (ไม่รู้คอแดงหรืออย่างไร?) คือเรื่องนี้เกิดขึ้นตอนผมนั่งรถไปกับพี่ครับ ก็เจอพวกนี้แหละ ตีคู่มา ก็มามองๆ แบบกวนๆ หาเรื่องตามประสาวัยรุ่นคะนอง แล้วก็ขับเฉี่ยวโฉบปาดโชว์ครับ ... พี่ผมก็ใช่ย่อย นักซิ่งมาแต่ไหน ก็ซิ่งคู่กันไป สุดท้ายเรานำแล้วเลี้ยวเข้าซอยบ้าน ฝรั่งคอแดงพวกนั้นก็หายไปกับตาครับ ไม่มีปัญหา (ระวัง อย่าขับรถเร็วเกินกำหนดนะครับ ตำรวจตปท. ไม่เหมือนเมืองไทย แถมค่าปรับก็แพงเอาการ)

อีกเรื่องนึงก็มีพี่คนนึง ต้องอยู่มหาลัยทำงานดึกๆ ครับ มีอยู่วันนึง เดินมาจะถึงหอพักแล้วล่ะ อยู่ข้างหน้าแท้ๆ เจอฝรั่งคนนึงเข้ามาซ้อมครับ มันคงเห็นว่าหญิงเอเชียตัวเล็กๆ เลยเอาใหญ่ ... ถ้าวิ่งหนีไม่ทัน ควรตะโกนเรียกให้คนช่วยนะครับ กรณีนี้

อีกเรื่องก็เป็นตอนพี่ผมและญาติไปเที่ยวกันที่ไหนสักแห่งต่างเมืองจำไม่ได้ แต่ถ้าไม่ผิดขับรถผ่านไปแถวย่านคนดำแล้วไปติดไฟแดง ซึ่งตอนนั้นดึกมาแล้วครับ ไม่มีรถเลย เปลี่ยวด้วย ... สักพักก็มีไอ้ดำนี่แหละครับ เดินมาจาก 2 ข้างเลย ข้างละ 4-5 คน ญาติผมเป็นพลขับ เห็นว่าฝ่าไฟแดงกะโดนปล้น เห็นว่าโดนปล้นจะไม่คุ้ม เลยขับฝ่าไฟแดงออกไปดีกว่า กันเหนียว ถ้าเจอตำรวจก็สามารถใช้เป็นสิ่งศักสิทธิ์คุ้มครองจากมิจฉาชีพได้

เรื่องสุดท้ายนี่ก็เป็นพวกขอเงินแหละครับ มีฝรั่งขี้เมาคนนึงดูท่าทางไม่เป็นอันตราย เดินดุ๊ยดุ่ยเข้ามาทางผม พอมาใกล้ๆ กลิ่นเหล้าก็โชยเลยครับ เขาก็มาขอตัง ... ถ้าจำไม่ผิด บอกว่าขอไปซื้อเหล้าตรงๆ เลย ... ผมก็อารายวะ ใครน่ะยู รู้จักกันก็เปล่า ก็อืมม แต่ไหนๆ ยูเป็นคนตรง ไอให้ก็ได้ (ตรงนี้คิดครับ) แต่ให้ได้เหรียญเดียวนะ จะเอามั้ยล่ะ ... แล้วเขาก็ตกลงครับ เงินฟรี ใครไม่เอา ... ก็ไม่มีปัญหา ตรงนี้ต้องรู้จักต่อรองครับ เหอะๆ โดนไถยังมีต่อรองนะ :)

เมืองที่ผมอยู่เป็นเมืองมหาลัยชนบทเล็กๆ ใน Missouri น่ะครับ คนที่นี่ก็มีแต่คนแก่ กะเด็กนักเรียน แหล่งบันเทิงยั่วใจก็ไม่ค่อยมี ฉะนั้นอาชญากรรมเลยค่อนข้างน้อยครับ ... ถ้าอยู่เมืองใหญ่ต้องระวังมากๆ

ความคิดเห็นของคุณ mon 11 ตุลาคม 2544

ได้ยินข่าวมาเยอะเหมือนกันครับสำหรับบางย่านที่ค่อนข้างอันตราย โดยเฉพาะ Redfern ใกล้ ๆ U of Sydney แต่สำหรับผมเองค่อนข้างโชคดีครับ อยู่ที่ North Sydney มาเกือบสามปี แล้วก็ทำงานที่ Chatswood เลิกงานเที่ยงคืนบางวันก็วิ่งออกกำลังกายกลับบ้าน ประมาณ 6 กม. ยังไม่เคยเจอปัญหาอะไรทั้งสิ้นเลยครับ มีพวกเด็ก ๆ เกเรบ้างแต่ก็โวยวายอยู่ในกลุ่มของเค้า ไม่เคยมีมารบกวนเลย ส่วนไอ้พวกที่ขับรถผ่านแล้วตะโกนออกมา ผมเป็นเป็นเรื่องปกติแล้วล่ะครับ ถ้าเพื่อน ๆ หรือน้อง ๆ จะไปเรียนต่างประเทศ ประเด็นเรื่องความปลอดภัยของย่านที่พักอาศัย ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาด้วยนะครับ ยังไงก็ลอง Post ถามในนี้ก็ได้ จะได้ช่วยกันแนะนำครับ

ความคิดเห็นของคุณ นายนิรันดร์ 11 ตุลาคม 2544

แวะมาอ่านครับ ผมเองโชคยังดีไม่ค่อยเจออะไรที่มันเลวร้ายมากนัก ตอนนี้ผมเรียนอยู่ที่ Melbourne ครับ อาจจะเพราะอยู่ห่างจากเมืองหน่อยมั้งครับ อยู่แถว Clayton ซึ่งเป็นแหล่งพักอาศัยซะมากกว่า คนที่อยู่แถวนี้ก็จะเป็นนักศึกษากันซะเยอะ เลยไม่ค่อยมีปัญหาน่ากลัวเท่าไหร่

ในเมืองก็ไม่ค่อยได้ไปเดินกลางดึกสักเท่าไหร่ครับ ไม่ค่อยได้เห็นพวกวัยรุ่นจับกลุ่มกันเลย สงสัยไปจับกลุ่มกันถิ่นอื่นที่ผมไม่เคยไป แต่อยู่ที่นี่ถิ่นที่น่ากลัวที่สุดก็เป็นถิ่นของชาวเวียดนามเชาแหละครับ อันนี้ถ้าเราเป็นพวกต่างถิ่น พูดภาษาเวียดนามไม่ได้ ดึกๆ อย่าได้ไปเดินเชียว อันตรายพอควรครับ ยังไงไปไหนมาไหนผมก็ค่อนข้างระวังตัวพอควร พยายามไม่พกเงินสดมากนัก แล้วก็ไม่แต่งตัวให้มันจูงใจปล้นสักเท่าไหร่ด้วยมั้ง อิอิ


ความคิดเห็นของคุณ DigiTaL-KRASH!!! 30 มกราคม 2547

อ่านแล้วครับ ที่ออสเตรเลียเหตุการณ์น่าตื่นเต้นจริงๆครับ พวกคนพวกนี้น่าจะโดนจับไปให้หมด แย่มากๆ

ที่ในอังกฤษนี่ส่วนใหญ่คนจะไม่ค่อยมีในเรื่องของการทำร้ายร่างกายกันนัก ส่วนคนเอเซียอย่างพวกเรานี่ คนอังกฤษเขาไม่ได้ตั้งแง่อะไรมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นกับแขกอินเดียมากกว่า คือพวกแขกนี่เข้ามาที่อังกฤษนี่ แล้วก็แย่งงานคนขาว แล้วพอรวยแล้วได้สิทธิการเป็นพลเมืองแล้ว ก็ตั้งบริษัท ห้างร้าน ซื้อที่ดินฝรั่งไล่ที่ฝรั่ง ฝรั่งเลยเกลียด

ส่วนพวกเอเซียเป็นนักเรียนเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นประสบการณ์ของผมเลยต่างจากของคุณ Practical x 2 อยู่บ้าง ส่วนใหญ่ที่โดนจะเป็นในแง่ของการดูถูกในเรื่องผู้หญิงขายบริการมากกว่า ขนาดผู้หญิงดีๆรุ่นน้องที่มหาลัย เวลาฝรั่งรู้ว่าเป็นคนไทย ยังถามเลยว่า นอนกับยูคืนละเท่าไหร่ ผมละเดือดแทนน้องเขาจริงๆ

แต่อย่างว่า... ที่เมืองเร็ดดิ้งที่ผมอยู่นี่ คนค่อนข้างน่ารัก เห็นเพื่อนที่เรียนที่ Bristol บอกว่าที่นั่นก็มีเรื่องบ่อยเหมือนกันครับ แต่ไม่ใช่กับคนเอเซีย เป็นคนดำกับฝรั่ง แล้วก็คนแขกอินเดีย กับฝรั่ง (ฝรั่งอังกฤษ กับแขกอินเดียที่อพยพเข้ามาซื้อที่ดินนี่... อีกหน่อยคงแย่งประเทศอังกฤษกันแน่ๆ)

แล้วก็มีพวกลักเล็กขโมยน้อย ประจำครับ แต่ไม่ค่อยมีทำร้ายร่างกายเท่าไรนักครับ ^__*

ในอังกฤษช่วงหลังๆ เริ่มมีปัญหาพวกแขกอินเดียที่อพยพเข้ามาหางานทำ หรือมาเป็นนักเรียนแล้วก็ทำงานไปด้วย ที่นี่พออยู่ครบ 7 ปีก็ยื่นขอ citizenship ได้ครับ พรรคพวกก็จะพยายามอยู่นานๆ เพื่อจะได้ขอสิทธิ์ จริงๆแล้วเดี๋ยวนี้ก็มี british born indian กับ british born chinese เยอะครับ

คนไทยเราหลายคนก็ใช้วิธีแบบนี้ คือเราก็มาเรียนตั้งแต่ยังเด็กแล้วก็ยื่นเอกสารขอเลย ซึ่งพอได้แล้วก็ทำให้มีโอกาสในการสมัครงาน และอื่นๆอีกมาก

เมื่อแขก(ทั้งแขกอินเดีย และแขกตะวันออกกลาง) เข้ามาเยอะๆ เวลาผ่านไปตอนนี้จะเห็นว่า แขกซื้อห้างร้านยึดลอนดอนไปเยอะพอสมควร ดังนั้นสัดส่วนของคนในลอนดอนจะเปลี่ยนไป ถ้าเดินในลอนดอนบางโซนเผลอๆจะนึกว่าอยู่ในเมืองแขกครับ (มีคนบอกว่าเดี๋ยวนี้ จำนวนถึง 40% ของ londoner ไม่ใช่ฝรั่งผิวขาวแล้ว แต่กลับเป็นคนเชื้อชาติอื่นๆ เช่น เอเซียอย่างเรา คนผิวดำ และพวกแขก) แต่เมื่อไหร่ไปเดินในโซโห(Soho) จะยิ่งสบายใจครับ เพราะจะมี "พวกเรา" หน้าตาโซนนี้เดินกันให้พล่าน บางทีก็มีอาเฮียมายืนกินทุเรียนอยู่ กลิ่นยวนใจยิ่งนัก(แต่ราคาที่เฮียแกขาย ตกพลูละ 175 บาทไทย!!!)

จะสังเกตความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง เมื่อเทียบกับรุ่นพ่อรุ่นแม่เราได้มากมายครับ

เช่น ตรงตามบันไดเลื่อนตรงที่ลงไปสถานี tube หรือรถไฟใต้ดิน ตรงนั้นจะเป็นปล่องยาวลงไปตามแนวบันไดที่เลื่อนลงล่างใช่ไหม ตรงผนังเขาจะมีทำเป็นป้ายโฆษณาต่างๆ เช่น stage play หรือบัตรเครดิต หรือพวกบริษัทท่องเที่ยวต่างๆ เราก็จะเห็นจำพวก "Bombay's Dream" บ้าง หรือไม่นางแบบนายแบบเครื่องสำอางค์ หรือครีมโกนหนวด ก็จะมีหน้าตาอินเดียเข้ามาเยอะ

ถ้าดูในโฆษณาทีวี จะเห็นว่าจะมีพวกเครื่องแกงอินเดียสำเร็จรูปที่ทำเป็นขวดๆมาขายหลายยี่ห้อ

มีอันนึงตลกจี๊มาก ขอเล่าให้ฟังหน่อยละกัน คือเป็นฉากฝรั่งผิวขาวเมืองผู้ดี กินข้าวเย็นแบบเงียบๆ ได้ยินแต่เสียงช้อนส้อมกระทบจานนิดๆหน่อยๆ แล้วก็มีเพื่อนเข้ามาก็เอาอาหารใส่ชามอ่างอันใหญ่ๆมีฝาปิดมา นัยว่าเอามากินด้วยกันทีนี้พอนั่งลงแล้วเปิดฝาเท่านั้นก็มีเพลงแขกขึ้น แต่น แต๊น แต๊น อ๊ะดึ่ง..ดึ๋ง..(ลองจินตนาการทำนองเพลงแดนซ์แขกอินเดีย ที่เคยได้ยินตามหนังแขก) แล้วโต๊ะก็เขย่าช้อนส้อมกระจาย คนทั้งโต๊ะตกใจกันหมด ฝรั่งเจ้าของอาหารก็ปิดฝาถ้วย ความเงียบก็กลับคืนมาใหม่ ทุกคนสบตากัน แล้วเจ้าของถ้วยก็ลองเผยอฝามานิดหน่อย เพลงก็ดังอีกหน ทีนี้ดังกว่าเดิม โต๊ะเขย่า ช้อนส้อมตกหมดทุกคนวางช้อนส้อมลง ส่วนคนเจ้าของอาหารก็เลยยิ้มแห้งๆ แล้วก็ทำท่ากระดกคอกลอกตาแบบแดนซ์แขก(ลองนึกฝรั่งทำท่ากระดกคอเหลือกตากลอกไปๆมาๆแบบแขก) เสร็จแล้วก็มีพูดโฆษณาความอร่อยของเครื่องแกงแล้วก็จบ ผมชอบโฆษณาอันนี้มาก จี้เส้นดีครับ

ที่นี่คนดำก็เยอะ แต่ไม่เท่าแขกอินเดีย กับแขกตะวันออกกลางครับ ถ้าที่อเมริกา มีปัญหาเรื่องอิทธิพลของคนดำ ที่อังกฤษก็มีเรื่องพวกแขกอพยพเข้าประเทศมาตั้งหลักแหล่งนี่แหละ

ส่วนสำหรับพวกบริษัทรถแทกซี่ ก็ตกอยู่ในมือของแขกตะวันออกกลางเกือบหมดแล้ว มารยาทการขับรถ หรือการบริการผู้โดยสาร ก็จะไม่นุ่มนวลเหมือนในอดีตที่ฝรั่งทำ ดังนั้นถ้าคุณบอกให้แทกซี่จอดรอสักห้านาที พอกลับออกมามันก็อาจขับไปแล้ว วันนึงผมเห็นจะๆเลยว่า มีคุณยายฝรั่งคนนึง แกก็งกๆเงิ่นๆ ต้องเดินถือไม้เท้า แกก้าวลงจากรถแทกซี่ชักช้าไม่ทันใจมัน คนขับมันก็แกล้งออกรถจนแกสะดุดล้ม ผมมองหน้ามันเลย แต่มันก็ไม่สนใจ

วันแรกที่ผมมาถึงเร็ดดิ้ง ตอนยังไม่รู้จักเมืองนี้เลย เดินออกมาจากสถานีรถไฟครั้งแรก รู้สึกตื่นๆเมืองแบบบ้านนอกเอเซียเข้ากรุงฝรั่ง กำลังจะต้องตามแผนที่ไปแคมปัส เพื่อไปหาหอพัก เอาของไปเก็บ ก็มีรถสปอร์ตสีดำเปิดประทุนขับปราดเข้ามาจอดหน้าลานหน้าสถานี แล้วคนในรถ(แขกอินเดียวัยรุ่นทั้งกลุ่ม) ก็โดดออกมาเต้นแดนซ์แขกโชว์พาว เป็นที่สนุกสนานเปิดเพลงอินเดียซะลั่นเลย คนมองดูกันเป็นแถว ดิ้นอยู่ซักสองนาที เสร็จแล้วมันก็พากันโดดขึ้นรถร้อง ยะฮู้ว! แล้วก็ขับไปที่อื่นต่อ 555 ก็ตลกดีครับ สนุกดีครับ

เรื่องแขกนี่มีรายละเอียดอีกเยอะ ส่วนมากเป็นเรื่องความขี้เหนียว(ขึ้นราคาของสองเท่า) เพราะตอนนี้พวกร้านขายของชำไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ก็ตกอยู่ในกำมือพวกแขกแล้วเรียบร้อย ฝรั่งโดนยึดเมือง รวมทั้งร้านแบบที่อยู่ตามปั๊มน้ำมันแบบของบ้านเราด้วย ก็เป็นของแขกทั้งอินเดีย และอาหรับ

เราจะเห็นร้านฟาสต์ฟูด ขายพวกคีบับ(kebab) เยอะมากเกร่อทั่วไป หา Fish and Chip แบบอังกฤษแท้ๆ กินยากขึ้นครับ คีบับแท้ๆจะเป็นแบบมีขนมปังนาน(Naan) ห่อใส่พริกดอง หัวหอม แล้วก็เนื้อแกะบดย่างที่ฝานเป็นเส้นๆ หรือเป็นคีบับฉบับพัฒนาแล้ว ที่ทำเป็นแฮมเบอร์เกอร์ไส้เนื้อแกะบดที่ผสมเครื่องเทศแขกกลิ่นฉุนๆ(แต่อร่อยนะครับ) นอกจากนี้ยังมีพวก set menu หรือ meal deal ที่เป็นแกง ก-อะ-ห-รี่ (พิมพ์ติดกันไม่ได้ครับ ติดเซนเซอร์หน้ายิ้มของพันทิพย์ครับ หนอยเขียนสคริปต์ได้ฉลาดมากตัดคำมั่วไปหมด)

จะมาเป็นจาน แล้วมีขนมปังนานแผ่นกลมๆแบนๆทาเนยกับกระเทียม ปิ้งร้อนๆมาให้จิ้มทานกับแกง curry (ต้องใช้มือเท่านั้น ตามธรรมเนียม) ก็มีครับ นี่แหละครับ ฟาสต์ฟู้ดเมืองผู้ดี สมัยยุค 2000

ถ้าแขกอินเดียจะออกแนวขี้เหนียวมากกว่า คือขึ้นราคาโหด สองเท่าขึ้นไปเมื่อเทียบกับซื้อที่ห้างเทสโก้(เทสโก้เดียวกับที่มาทำห้างเทสโก้โลตัส ที่เมืองไทยเราแหละครับ) แต่ถ้าเป็นแขกตะวันออกกลางเมื่อไหร่จะออกแนวขี้โกง ทอนสตางค์ขาดยันเลย โดยเฉพาะกับคนเอเซียที่เห็นเพิ่งมาใหม่ๆยังไม่คุ้นกับเหรียญ

ถ้าคุณซื้อของแล้วต้องดูสตางค์ทอนดีๆครับ บางทีทอนขาดแล้วทำหน้าตายไม่รู้เรื่อง แกล้งทอนเหรียญย่อยๆเยอะๆให้เราตาลาย คุณต้องนับตังค์ทอนทุกครั้งก่อนออกจากร้านนะครับ มันเขี้ยวได้ เราก็ต้องเขี้ยวให้ทันมัน ยิ่งที่นี่มีเหรียญใช้เยอะ (1 ปอนด์ = 100 เพนซ์) มีเหรียญตั้งแต่ 1 เพนซ์ 5 เพนซ์ 10 เพนซ์ 20 เพนซ์ 50 เพนซ์ แล้วค่อยเป็นเหรียญบาท หรือคือเหรียญปอนด์ (ที่นี่นักเรียนไทยเราก็จะเรียกปอนด์เป็นบาท เหมือนพวกที่เรียนเมกาเขาเรียกดอลลาร์เป็นบาทแหละครับ ปลอบใจครับ ดูแล้วไม่แพงดี) ซึ่งบางทีพรรคพวกเล่นทอนเป็นเหรียญ 5 เพนซ์มาเพียบ ต้องนับกันอยู่นาน ปรากฏว่าขาดไป 50 เพนซ์ (35บาทไทย) อย่างนี้เป็นต้น เป็นบ่อยถึงบ่อยมากที่สุดครับ

พิมพ์มาเสียยาว ให้ท่านอื่นมาเล่าประสบการณ์ทั้งที่จี้เส้น และทั้งที่อันตรายมั่งแล้วกันนะครับ เดี๋ยวจะยาวไปครับ..


หากมีข้อแนะนำกรุณาติดต่อที่อีเมลล์ : Practical_x_2@hotmail.com