PETE YORN
พีท มาจากเมืองเล็ก ๆ ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ เขาหัดเล่นกลอง ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ มี ริค พี่ชายที่เป็นเจ้าของกลองเป็นพี่เลี้ยงแนะให้เล็ก ๆ ตอนเด็ก ๆ ชอบฟังเพลงเฮฟวี่ เมทัลอย่าง Iron Maiden, Judas Priest ฯลฯ และหันมาหยิบกีตาร์เมื่ออายุ 12 ช่วงนั้นกำลังเป็นวัยรุ่นwปเที่ยวบาฮาม่าส์กับครอบครัว เจอเด็กสาวคนหนึ่งมาจาก เพนซาโคล่ารัฐคาลิฟอร์เนีย เธอเปิดโลกทัศน์ของเขาด้วยการแนะนำ ให้รู้จักกับ The Smiths วงเท่ของอังกฤษ ขึ้นเวทีครั้งแรกสมัยเรียนมัธยมในงานประกวด ร้องเพลงเมื่อปี 1990 จริง ๆ แล้วตอนนั้นเล่นกลอง แต่เจอลูกยุจากเพื่อน ๆ ให้ร้องก็เลยจับไมค์ร้องเพลงในงานประกวดครั้งนั้น เขาเลือกร้องเพลง Talent Show ของ Replacements ขนาดวงคู่แข่งยังติดใจเชิญให้เขามาร้องแจมด้วยในเพลงของ นีล ยัง Rocking In The Free World จากนั้นก็หันมาร้องเพลงแทนตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พอเรียนจบจากมหาวิทยาลัยก็เดินทางมาแอลเอ ในซัมเมอร์ปี 1996 เพราะ ริค กับ เควิน พี่ชายเขา 2 คนย้ายไปอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว แถมยังรู้สึกว่า คาลิฟอร์เนีย เป็นเมืองโรแมนติคและอากาศดีอีกด้วย เขามั่นใจตัวเองมากว่าถ้าเขาไปเล่นโชว์ตามคลับ เดี๋ยวก็คงต้องมีแมวมองจับเขาไปเซ็นสัญญาแหง ๆ แต่ในความเป็นจริงเรื่องราว ไม่ได้ง่ายซะ ขนาดนั้น ระหว่างที่เล่นตามคลับที่แอลเอ กับวง Million เขาก็ส่งเดโมเทปไปให้ทุกคนที่รู้จักในแวดวงดนตรี รวมทั้ง ริค พี่ชายที่เป็นเอเยนต์ให้ดาราดัง ๆ มากมาย อาทิ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ กับ คาเมรอน ดิอาซ กว่าจะเจอคนหูดีก็ปาเข้าไปเกือบ 4 ปีจากสังกัดโคลัมเบีย เร็คคอร์ดส์ ซึ่งเป็นสังกัดแผ่นเสียงโปรดส่วนตัวซะด้วย เพราะสังกัดนี้มีฮีโร่เขาเพียบทั้ง เลินนาร์ด โคห์น, บ็อบ ดีแลน, บรู๊ซ สปริงสทีน, เจฟฟ์ บัคลีย์, ฯลฯ โคลัมเบียติดต่อเขาให้ไปพบที่นิวยอร์ค พีท เดินทางพร้อมกับสะพายกีตาร์โปร่งไปด้วย เล่นเพลง Life on a Chain โชว์ในออฟฟิศที่เดียวกับที่ บรู๊ซ สปริงสทีน เซ็นสัญญากับ โคลัมเบียนั่นเลย แล้วก็ได้เป็นศิลปินของโคลัมเบียสมใจ ยังไม่ทันจะได้ออกอัลบั้มแรก โชว์ของ พีท ที่คาเฟ ลาโกก็ สะดุดหู แบรดลีย์ โธมัส เข้าอย่างจัง เขาเป็นโปรดิวเซอร์ของหนังเรื่อง Kingpin กับ There's Something About Mary หนังของ พี่น้องตระกูล ฟาเรลลี่ แบรดลีย์ เลยให้ พีท ลองส่งเดโมเทปมาให้ฟัง แล้วก็เลือกเพลง จากในเดโมมา 2 เพลง Just Another กับ Strange Condition เอาไปรวมไว้ในหนังเรื่อง Me, Myself And Irene แต่ปรากฏว่าอีก 2-3 วันต่อจากนั้นเขาก็ได้รับ โทรศัพท์ว่า ให้ไปทำเพลงสกอร์ให้ หนังทั้งเรื่องเลย!! เขาใช้เวลา ทำแค่ 3 อาทิตย์ระหว่างมิกซ์เสียงอัลบั้มแรก ทำเพลงสกอร์ใน โรงรถของ อาร์ วอลต์ วินเซนต์ เอ็นจิเนียร์ที่ พีท บอกว่าเยี่ยมที่สุด เท่าที่เขาเคยเจอ แต่เพลง Strange Condition พีท ร่วมงาน กับโปรดิวเซอร์ แบรด วูด (Smashing Pumpkins, ลิซ แฟร์, Placebo ฯลฯ) และ อาร์ วอลต์ วินเซนต์ ส่วนเพลง Just Another อัดที่ห้องใต้ดินในบ้านของ พีท เอง เพลงนี้ยังได้ รวมอยู่ในซาวด์แทร็ค หนังชุดทางทีวีฮิต ๆ อย่าง Felicity กับ Songs From Dawson's Creek Volumn 2 รวมทั้งหนังเรื่อง Bandits ด้วย พีท ตั้งชื่ออัลบั้มแรกว่า musicforthemorningafter ตั้งใจ ให้เขียนติดกันเป็นแผงอย่างที่เห็น เพราะอยากให้คน สะดุดตา จำได้ง่าย ออกขายในเดือนมีนาคม 2001 อัลบั้มชุดนี้บันทึกเสียง ตามที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงรถที่บ้านของ อาร์ วอลต์ วิน เซนต์ ในคัลเวอร์ ซิตี้รัฐคาลิฟอร์เนีย ที่บ้าน และ ที่เกสต์ เฮ้าส์ใน ซานเฟอร์นานโด แวลลีย์ เขาแต่งเพลงทุกเพลงเอง และเล่นดนตรีเอง เกือบทุกชิ้นในอัลบั้มชุดนี้ แต่บนเวทีคอนเสิร์ตเขาจะมี วงดนตรีแบ็คอัพ ช่วงแรก ๆ มี วอซ กับ โจ เคนเนดี ที่เป็นเพื่อน ที่เรียนมาด้วยกัน ที่มหาวิทยาลัยซีราคิวส์ มาเล่นกีตาร์ให้ อาร์ วอลต์ วินเซนต์ เล่นเบสและกลอง แต่หลัง ๆ มี ลุค อดัมส์ เล่นกลอง และ เทอร์รี่ บอร์เดน เล่นเบสแทน อาร์ วอลต์ วินเซนต์ วงแบ็คอัพของเขาชื่อ Dirty Bird พีท ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 10 ศิลปินที่น่าสนใจประจำปี 2001 จากนิตยสารโรลลิง สโตน นอกจากนี้ยังมีศิลปินในวงการเป็น แฟนเพลงมากมาย รวมทั้ง พีท บัค จาก R.E.M.ที่ชอบใจ ผลงานของเขา มากถึงขนาดออกปากช่วยเล่นกีตาร์ให้เขา ในเพลง Strange Condition เวอร์ชันพิเศษ สำหรับอัลบั้ม musicforthemorningafter ที่นำมาออกขายใหม่ ในเดือน เมษายน 2002 เป็นแบบจำนวนจำกัด มีเพลงแถมเป็นเพลง คัฟเวอร์น่าสนใจมาก ไม่ว่าจะเป็น New York Serenade กับ Dancing In The Dark ของ บรู๊ซ สปริงสทีน Panic ของ The Smiths แล้วก็ China Girl ของ เดวิด โบวี่ กับ อิกกี้ ป๊อป รวมทั้งมีวิดีโอเพลง For Nancy ('Cos It Alread Is), Life On A Chain กับ June แถมเป็นโบนัสอีกด้วย 15 พฤษภาคม 2003 พีท ออกงานชุดที่สอง Day I Forgot ที่จริงตั้งแต่ทำอัลบั้มแรกเสร็จ พีท ก็เริ่มคิดถึงทิศทางอัลบั้มที่สองแล้ว
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับงานชุดแรกMusicforthemorningafterเมื่อปี 2001 ที่ผ่านมา Peteyornกลัลมาอีกครั้งพร้อมกับอัลบัมชุดใหม่ที่เจ้าตัวบอกว่างานชุดนี้เป็นอัลบัมที่ต่อเนื่องมาจากชุดแรก ในMusicforthemorningafter เป็นเรื่องของการสิ้นสุดความสัมพันธ์ รวมไปถึงการจัดการกับมันแล้วอยู่กับความรู้สึกนั้นให้ได้ และเตรียมพร้อมก้าวไปข้างหน้า นักร้องและนักแต่งเพลงหนุ่มพูดหลัง จากที่บ่ายนี้เขาไปโยนโบว์ลิ่งมา ส่วนเพลงต่างๆในDay I Forgot มันเกี่ยวกับการให้กำลังใจตัวเอง และเตรียมตัวสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ ดังนั้นอัลบัมชุดถัดไปของผมอาจเต็มไปด้วยเพลงรักเศร้าๆ เพลงรักหวานแหววหรืออะไรบางอย่าง แต่จะเป็นอะไรนั้นเอาไว้ค่อยดูกีนอีกที ในระหว่างที่เนื้อหาของงานชุดต่อไป ยังไม่เป็นที่เเน่นอน Pete Yorn ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำสิ่งสนุกๆ ตามที่เขาอยากจะทำ ขณะที่งานในอัลบัมชุดก่อนหน้านี้ของเขานั้น เต็มไปด้วยความหดหู่เศร้าสร้อย Day I Forgot ชุดนี้เป็นงานที่ฟังดูมีความสุขมากขึ้น มันเหมือนกับที่ Ferris Bueller เคยพูดเอาไว้ว่า ถ้าคุณไม่หยุดดูสิ่งต่างๆรอบตัว ช่วงชีวิตของเราจะผ่านไปเร็วมาก เมื่อมันผ่านไปแล้ว คุณอาจจะรู้สึกเสียดายมันก็ได้ Pete Yorn อธิบายถึงชื่ออัลบัม "ดูเหมือนผู้คนจะมัวยุ่งอยู่กับสิ่งที่พวกเขาต้องทำเป็นกิจวัตรในแต่ละวัน พวกเขาใช้ชิวิตกันอย่างจริงจังอะไรมากเลย ใช้ชีวิตของเราให้สนุกดีกว่า เหมือนที่ผมไปเล่นโบว์ลิ่งเมื่อตอนบ่ายไง หรือไม่ก็เหมือนตอนที่เราเป็นเด็กนักเรียน" ดูเหมือนว่าPete Yornมุ่งประเด็นไปที่เหตุการณ์ปัจจุบันมากทีเดียว อย่างเพลงที่เป็นซิงเกิลแรก Come Back Home (เกี่ยวกับการรำลึกถึงสิ่งที่ที่คุณมา) ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความมุ่งหมายตัวเขาได้เป็นอย่างดี "เมื่อผมได้ฟัง ผมรู้สึกว่าเหมือนได้กลับบ้านอีกครั้ง เพราะผมใช้ชีวิตอยู่บนถนนระหว่างการออกทัวร์นานถึง9เดือนเลยนะ" Pete Yorn เล่า ดังนั้นความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้วตอนนี้ สำหรับMVตัวแรก Pete Yorn ได้เชิญ The A/V Club มาเป็นผู้ทำMVตัวนี้ ที่ถ่ายทำกันในบริเวณรอบๆบ้านของเราเอง "ผมว่ามันจะช่วยทำให้คุณรู้สึกถึงเพลงนี้ได้ดีขึ้น และแสดงให้เห็นถึงการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายของผม Pete Yorn พูด" ผมคิดว่ามันเป็นเพลงที่แสดงความรู้สึกคิดถึงบ้านออกมา ผมรู้สึกคิดถึงบ้านง่ายมาก ผมจากที่นี่ไป และยังจำได้เสมอว่า ตอนที่ผมนั่งอยู่ในสตูดิโอของ MTV ผมรู้สึกหวาดวิตกแค่ไหน" อาการคิดถึงบ้านเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่อยู่ในเพลงจากอัลบัม "Day I ForgotW แต่สำหรับเพลง WBurritosW กลับมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับการรอคอยอะไรบางอย่างที่7-11 "การเติบโตขึ้นมาในเมืองนิวเจอร์ซีย์ สิ่งที่คุณสามารถทำได้ในเมืองนี้ก็คือ นั่งดื่มเบียร์กันในป่า ไปค้างบ้านเพื่อนแล้วสูบกัญชากัน หรือไม่ก็ไปอยู่ตาม7-11 เพลงนี้พูดถึงการนัดพบที่7-11 ส่วนคอรัสเป็นเรื่องของความรัก จริงๆแล้ว มันก็เป็นแค่เพลงไร้สาระเพลงหนึ่ง นอกจากเพลง Burritos เพลงอื่นๆใน Day I Forgot ส่วนมากจะเป็นเรื่องราวที่พูดถึงเรื่องราว ความสัมพันธ ทั้งการจัดการกับความรู้สึกอิจฉาริษยาใน "Long Way Down" รวมถึงเพลงอย่าง "Committed" และ"So Much Work" ก็เป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ส่วนเพลงที่ฟังแล้วสะเทือนอารมณ์ที่สุดน่าจะเป็น "Crystal Village" เพลงที่พูดถึงการใช้ชีวิตกับใครคนนึงในช่วงเวลาสั้นๆ "คุณสามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของใครบางคนในอาทิตย์แรกที่อยู่ด้วยกัน ได้นอนหลับร่วมกัน แต่พอถึงเช้าวันหนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นมาคุณกลับไม่ใช่คนๆนั้นของเขา แล้วด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง" Pete Yorn อธิบาย "คุณไม่มีทางจะอธิบายมันได้ว่าเพราะอะไร ผมคิดว่าเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นเรื่องที่เปราะบางมากๆ" เหมือนกับงานชุด Musicforthemorningafter อัลบัมใหม่ยังคงบันทึกเสียงกันในโรงรถร่วมกับโปรดิวซ์เซอร์ R.Walt Vincent และ Scott Liff ซึ่งได้ Andy Wallace กับ Ken Andrewมามิกซ์เสียง ให้ Peteyorn เล่นดนตรีให้งานเขาเกือบทั้งหมด รวมถึงได้ PeterBuck ของ REM มาเล่นแมนโดลินให้ในเพลง "Man In Uniform" อีกด้วย
ทราบหรือไม่ พีท เป็นคนถนัดซ้าย แต่ก็เล่นกีตาร์ได้เจ๋งไม่แพ้พวกที่เล่นมือขวา
ริค
พี่ขายของเขาเคยเป็นนักดนตรีอยู่ในวงของเขามากว่า 4 ปี ปัจจุบันทั้ง ริค
กับ เควิน ยังคงเป็นแฟนเพลงตัวกลั่นของเขาอยู่
|