Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!

 เหตุผล 10 ประการที่เชื่อในพระคริสต์ ไม่ใช่เชื่อในศาสนา

 1. พระคริสต์ทรงเป็นมากกว่าธรรมเนียมปฏิบัติหรือคำสอน

พระองค์ทรงเป็นบุคคลผู้ทรงทราบถึงความจำเป็นของเรา รู้สึกถึงความเจ็บปวดของเรา และทรงเห็นใจใน ความอ่อนแอของเรา และนำเราไปถึงพระบิดาเพื่อทรงทำให้เราเชื่อ วางใจพระองค์ พระองค์ทรงร้องไห้เพื่อเรา และทรงฟื้นขึ้นจากความตาย เพื่อแสดงว่า พระองค์ ทรงเป็นทุกสิ่ง ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้โดยการชนะความตาย พระองค์ทรงแสดง ให้เห็นว่า พระองค์ทรงสามารถช่วยเราให้รอดพ้นจากบาป ทรงสำแดงชีวิตของพระองค์ผ่านเรา แล้วนำเราไปถึงสวรรค์อย่างปลอดภัย พระองค์ทรงให้พระองค์เองเป็นของประทานแก่ทุกคนที่เชื่อวางใจ (ยอห์น 20:24-31)

2. ศาสนาเป็นสิ่งที่เราเชื่อและปฏิบัติ

ศาสนาคือความเชื่อในพระเจ้า การเข้าร่วมพิธีทางศาสนา ท่องจำคำสอน รับบัพติสมาและ มหาสนิท ศาสนาเป็นคำสอนและธรรมเนียมปฏิบัติที่ตกทอดกันมา พิธีกรรม เทศกาลฉลอง และการเรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างถูกกับผิด ศาสนาคือการอ่านและท่องจำพระคัมภีร์ อธิษฐานเผื่อคนยากจน และฉลองวันสำคัญทางศาสนา ศาสนาคือการร้องเพลงในคณะนักร้อง ช่วยเหลือคนยากไร้ และแก้ไขอดีตที่ผิดพลาด ศาสนาเป็นสิ่งที่ทำโดยพวกฟาริสีซึ่งเป็นผู้นำ ฝ่ายวิญญาณที่รักพระคัมภีร์ เป็นพวกอนุรักษ์นิยม ชอบแยกตัวเอง และเกลียดพระคริสต์ มากพอที่จะทำให้พระองค์สิ้นพระชนม์ พวกเขาเกลียดพระองค์ไม่เพียงเพราะว่าพระองค์ทรง ทำผิดธรรมเนียมของพวกเขาในการช่วยเหลือผู้คน (มัทธิว 15:1-9) แต่เพราะว่าพระองค์ทรง มองทะลุศาสนาเข้าไปถึงหัวใจของพวกเขา

3. ศาสนาไม่อาจเปลี่ยนหัวใจ

พระเยซูทรงเปรียบเทียบพวกฟาริสีกับคนล้างจานที่ล้างแต่ภายนอก และทิ้งให้ภายในสกปรก พระองค์ตรัสว่า "เจ้าพวกฟาริสีย่อมชำระถ้วยชามข้างนอก แต่ข้างในของเจ้า เต็มไปด้วย ความโลภและความชั่วร้าย โอ คนโฉดเขลา ผู้ที่ได้สร้างข้างนอกก็ได้สร้างข้างในด้วยมิใช่หรือ" (ลูกา11:39-40) พระเยซูทรงทราบว่ามนุษย์สามารถเปลี่ยน ภาพลักษณ์ของเขาได้โดยไม่ เปลี่ยนการกระทำ ข้างใน (มัทธิว23.1-3) พระองค์ทรงทราบว่า การปฏิบัติและพิธีกรรมทาง ศาสนาไม่สามารถเปลี่ยนหัวใจได้ ทรงตรัสกับผู้ที่เคร่งศาสนาผู้หนึ่ง ในสมัยของพระองค์ว่า ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดไม่ "บังเกิดใหม่" โดยพระวิญญาณ ผู้นั้นก็จะไม่สามารถเห็นแผ่นดิน ของพระเจ้าได้ (ยอห์น3.3) แต่ตราบวันนั้นจนถึงวันนี้ นักศาสนาจำนวนมาก ในโลกยังคงลืมไปว่า ศาสนาสามารถ ให้ความสนใจได้แต่เพียงสิ่งที่ปรากฏภายนอกเท่านั้น พระคริสต์ต่างหาก ที่ทรงสามารถเปลี่ยนหัวใจได้

4. ศาสนาทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

พระเยซูตรัสกับนักศาสนาซึ่งเคร่งครัดในข้อหยุมหยิมว่า "วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี ด้วยว่าพวกเจ้า ถวายทศางค์ของสาระแหน่และขมิ้นและผักทุกอย่าง และได้ละเว้นความชอบธรรม และความรัก พระเจ้า เสีย สิ่งเหล่านั้นพวกเจ้าควรได้กระทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นนั้นไม่ควรละเว้นด้วย" (ลูกา 11.42) พระเยซูทรงเห็นแนวโน้มของเราในการสร้างกฏ และพยายามที่จะประพฤติให้"ถูกต้องทางศีลธรรม" มากกว่าการจับตาดูในเรื่องสำคัญกว่านั้นคือเรื่องที่ว่า ทำไมเราจึงต้องพยายามทำให้ถูกต้อง ในขณะที่ พวกฟาริสีเน้นความรู้มากจนได้ข้อสรุปที่เหมาะสม แต่พวกเขาลืมไปว่าพระเจ้าไม่ทรงสนพระทัยว่า พวกเรารู้มากเพียงไรจนกว่าพระองค์จะทราบว่า เราเอาใจใส่เพียงไร นี่คือสิ่งที่สำคัญกว่าของคำว่า "ทำไม" ซึ่งอัครทูตเปาโลระลึกถึงเมื่อท่านเขียนว่า "แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องและฉาบที่กำลังส่งเสียง ...แม้ข้าพเจ้า สละสิ่งของสารพัด หรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้า ไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ ข้าพเจ้าไม่ " (1 โครินธ์13:1,3)

5.ศาสนาหยิบยื่นการยอมรับของมนุษย์ ไม่ใช่ของพระเจ้า

พระเยซูทรงเก็บคำตำหนิที่รุนแรงที่สุดไว้สำหรับผู้เคร่งศาสนา ซึ่งอาศัยชื่อเสียงฝ่ายวิญญาณของ พวกเขาเพื่อให้ได้รับความสนใจและเกียรติในสังคม พระเยซูตรัสกับนักศาสนาเหล่านี้ว่า "วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี ด้วยว่าพวกเจ้าชอบที่นั่งอันมีเกียรติในธรรมศาลา และชอบให้เขาคำนับที่กลางตลาด" (ลูกา 11.43) แล้วตรัสกับสาวกของพระองค์โดยกล่าวถึงพวกฟาริสีว่า "การกระทำของเขาเป็นการ อวดเท่านั้น" (มัทธิว 23:5) พระเยซูทรงเห็นอย่างชัดเจนถึงการปฏิบัติศาสนา ซึ่งยึดถือความเห็น ของมนุษย์ว่ามีความสำคัญและเป็นที่ต้องการยิ่งกว่าการยอมรับของพระเจ้า

6. ศาสนาทำให้เราเป็นคนหน้าซื่อใจคด

พระเยซูตรัสว่า "วิบัติแก่เจ้า ด้วยว่าเจ้าทั้งหลายเป็นเหมือนที่ฝังศพ ซึ่งมิได้ปรากฏ และคนที่เดินเหยียบ ที่นั่น ก้ไม่รู้ว่ามีอะไร" (ลูกา11:44) มีอะไรดูดีไปกว่าการแต่งตัวดี เข้าร่วมศาสนพิธี และทำสิ่งที่แสดงว่า เราน่านับถือและเป็นคนเกรงกลัวพระเจ้าหรือ? ยังมีนักวิชาการทางศาสนา ผู้รับใช้และผู้เชื่อที่สัตย์ซื่ออีก เป็นจำนวนมากมายเพียงไรที่ไม่ได้ให้เกียรติและหนุนใจแก่ภรรยา หรือให้ความสนใจแก่ลูกๆ และให้ความ รักแกศัตรูตามหลักข้องเชื่อ? พระเยซูทรงทราบว่าเรามักจะลืม: สิ่งที่ดูดีอาจจะมีดวงใจที่ชั่วร้าย

7. ศาสนาทำให้ชีวิตที่ยากลำบากอยู่แล้วต้องลำบากยิ่งขึ้น

เพราะว่าศาสนาไม่สามารถเปลี่ยนหัวใจ แต่พยายามที่จะควบคุมมนุษย์ด้วยบทบัญญัติและความคาดหวัง ซึ่งแม้แต่นักศาสนาที่อธิบายความหมายและใช้บัญญัติเองก็ไม่ทำตาม และเพราะ"ภาระ" ที่มีในจิตใจนี้เอง พระเยซูจึงตรัสว่า "วิบัติแก่เจ้า พวกบาเรียนด้วย เพราะพวกเจ้า เอาของหนักที่แบกยากนักวางบนมนุษย์ แต่ส่วนพวกเจ้าเองก็ไม่จับต้องเลยแม้แต่นิ้วเดียว" (ลูกา 11:46) ศาสนานั้นดีในการบรรยายถึงมาตรฐาน ที่สูงของการกระทำและความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง แต่อ่อนในการให้ความช่วยเหลือที่แท้จริง และให้ความเมตตา ต่อผู้ที่รู้ว่า พวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตได้ ตามมาตรฐานนั้น

8. ศาสนาทำให้เราหลอกตัวเองได้ง่าย

มีการพูดเล่นตลกๆว่า "ผมรักเพื่อนมนุษย์ แต่ผมทนคนบางคนไม่ได้" พวกฟาริสีทำตัวแบบเดียวกัน แต่นั่น ไม่น่าขำ พระเยซูทรงเห็นว่า พวกฟาริสีภูมิใจในตัวเองที่ให้เกียรติและ สร้างอนุสรณ์แก่ผู้เผยพระวจนะ แต่ว่า เมื่อพวกเขาพบผู้เผยพระวจนะจริง พวกเขากลับต้องการจะฆ่าพระองค์ บาร์คเล่ย์กล่าวว่า "ผู้เผยพระวจน ะพวกเดียวที่พวกฟาริสียกย่องเป็นพวกที่ตายแล้ว เมื่อพวกฟาริสีพบคนที่มีชีวิต อยู่พวกเขาจะพยายามฆ่า พวกเขาให้เกียรติผู้เผยพระวจนะที่ตายแล้วด้วยอุโมงค์และอนุสรณ์ แต่พวกเขาไม่ให้เกียรติผู้ที่มีชีวิตอยู่โดย การข่มเหงและความตาย" นี่เป็นประเด็นของพระเยซูใน ลูกา 11:47-51 ในพระคัมภีร์ตอนที่คล้ายกันใน มัทธิว 23:29-32 พวกฟาริสีหลอกลวงตัวเองพวกเขาไม่ได้คิดว่า ตนเป็นผู้ฆ่าผู้เผยพระวจนะ นักศาสนามองไม่เห็น ตัวเองว่าเป็นคนที่พระเจ้าทรงปฏิเสธ

9. ศาสนาซ่อนกุญแจแห่งความรู้

อันตรายที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของศาสนาคือ ศาสนาเป็นอันตราย ไม่เพียงต่อตัวเราเองแต่ต่อผู้อื่นด้วย พระเยซูตรัสกับนักพระคัมภีร์ในสมัยของพระองค์ว่า "วิบัติแก่เจ้า พวกบาเรียน ด้วยว่าเจ้าได้เอาลูกกุญแจ แห่งความรู้ไปเสีย คือพวกเจ้าเองก็ไม่เข้าไป และคนที่กำลังเข้าไปนั้น เจ้าก้ได้ขัดขวางไว้" (ลูกา 11:52) นักศาสนาเอา"กุญแจแห่งความรู้" ไปเสีย โดยการหันเหคนจากพระคำของพระเจ้าและจาก "ความสนใจที่ ถูกต้องของหัวใจ" โดยการเพิ่มเติมธรรมเนียมที่ไม่จำเป็น และความคาดหวังที่ถูกต้องตามนิกายเข้าไป แทนที่จะนำคนมาถึงพระเจ้านักศาสนาย้ายความจดจ่อมาที่ตัวเองและกฏเกณฑ์ของพวกเขา นักศาสนา เป็นพวกที่วางใจในหลักข้อเชื่อ และการกระทำในศาสนาของตน ซึ่งมีแต่เพียงพระคริสต์เท่านั้นที่จะทรงทำได้

10. ศาสนานำให้คนที่กลับใจหลงหายไป

ในมัทธิว 23:15 พระเยซูตรัสว่า "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยว่าพวก เจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไป เพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีต เมื่อได้แล้วก็ทำให้เขาถึงนรกยิ่ง กว่าเจ้าเองถึง 2 เท่า" คนที่กลับใจเข้าหาศาสนามีอันตรายเป็นสองเท่า พวกเขานำเอาความกระตือรือร้นสอง เท่าเข้ามาในวิถีชีวิตใหม่ ของพวกเขา และพวกเขาปกป้องอย่างคนตาบอดให้กับอาจารย์ตาบอดของพวกเขา ด้วยความร้อนรน พวกเขาวางใจในมนุษย์ผู้ซึ่งเอาระบบกฏเกณฑ์และธรรมเนียมประเพณีไปแลกเปลี่ยนกับชีวิต การยกโทษและความสัมพันธ์กับองค์พระผู้ช่วยให้รอดองค์นิรันดร์ ศาสนาจะมีความสำคัญในตัวของมันเอง (ยากอบ 1:26-26) ก็แต่เฉพาะเพียงเมื่อมันชี้นำเราไปที่พระคริสต์ ซึ่งสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของเรา และ ผู้ทรงดำรงพระชนม์ผ่านผู้ที่วางใจในพระองค์เท่านั้น (กาลาเทีย 2:20, ทิตัส 3:5) ไม่ใช่คุณคนเดียว ถ้าคุณยังไม่มั่นใจว่าพระคริสต์ทรงเป็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ จงระลึกว่า พระอง ค์ทรงสัญญาจะประทานความช่วยเหลือของพระเจ้าให้กับทุกคน พระองค์ตรัสว่า "ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ ผู้นั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนั้นมาจากพระเจ้า หรือว่าเราพูดตามใจชอบของเราเอง" (ยอห์น 7:17) ถ้าคุณเห็นว่าความเชื่อในพระคริสต์มีเหตุผลพอ จงระลึกว่าพระคัมภีร์กล่าวว่า "ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอด นั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้น จะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้" (เอเฟซัส 2:8-9) ความรอดซึ่งพระคริสต์ให้นั้น ไม่ใช่รางวัลของความพยายาม แต่เป็นของประทานให้แก่ผู้ที่ได้วางใจในพระองค์ เนื่องจากหลักฐานเหล่านี้

ข้อมูล:  จากองค์การเยาวชนไทยเพื่อพระคริสต์

 

GUEST BOOK / WEB BOARD / SHARE&CARE / KIDS CENTER / FAMILY / COMPOSITION / PRAY CENTER / BIBLE STUDY /ARTICLES / MALL CENTER / NEWS / PICTURES / CONTACT US / WEB LINKS /PRAISE&WORSHIP/ HOME