Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!

ความบาป

1. ความบาปสำคัญต่อเราอย่างไร?

ในมุมมองของพระคริสตธรรมคัมภีร์ “ความบาป” เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์ ความบาปทำให้มนุษย์ตกต่ำจากมาตรฐานที่พระเจ้าวางไว้ ความบาปทำให้มนุษย์เห็นแก่ตัวและเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ความบาปทำให้เกิดการกระทำที่ผิดศีลธรรม ความบาปทำให้สังคมเสื่อมโทรม ความบาปทำให้โลกไม่น่าอยู่สำหรับมนุษย์อีกต่อไป และในที่สุดความบาปนี้แหละจะนำมนุษย์ไปสู่การพิพากษาและการลงโทษอย่างแสนสาหัสจากพระเจ้า

2. ความบาปคืออะไร?

เมื่อพูดถึงความบาป พระคริสตธรรมคัมภีร์หมายถึง “การผิดพระประสงค์ของพระเจ้า” หรือ “การตกต่ำจากมาตรฐานของพระเจ้า” หรือ “การไม่เชื่อฟังพระเจ้า” ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเน้นที่ท่าทีภายในความคิดจิตใจของมนุษย์มากกว่าการกระทำ เพราะการกระทำสิ่งที่ไม่ดีและทำความชั่วร้ายทั้งปวงล้วนเกิดมาจากความคิดจิตใจที่ตกต่ำจากมาตรฐานของพระเจ้านั่นเอง

3. เราเป็นคนบาปด้วยหรือ?

พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวว่า “มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป” แม้แต่คนที่ไม่ได้ “ทำบาป” ก็ “เป็นคนบาป” เพราะการเป็นคนบาปเกิดจากการสืบสายเลือด กล่าวคือมนุษย์คนแรกที่พระเจ้าสร้าง(อาดัม)ได้ทำบาปโดยการไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้า แม้พระเจ้าจะตั้งกฎไว้เพียงข้อเดียวเท่านั้น และความจริงเขาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ต้องไปกินผลไม้จากต้นที่พระเจ้าห้าม จากสายเลือดบาปของอาดัมนี้เอง ความบาปจึงตกทอดมาถึงมนุษย์ทุกคน แม้แต่เด็กที่ไม่มีใครสอนให้เขาทำในสิ่งที่ไม่มีเลยก็ยังมีแนวโน้มที่จะทำสิ่งไม่ดี แม้เราทุกคนจะพยายามทำดี แต่เราก็รู้ว่าในตัวเรายังมีอิทธิพลชั่วร้ายชักจูงให้เราไปทำสิ่งที่ไม่ดีเสมอ อิทธิพลชั่วร้ายนี้เองที่เป็น “ธรรมชาติบาป” หรือ “สายเลือดบาป” ที่ตกทอดมาถึงเราทุกคน ทำให้เราทุกคนเป็นคนบาป

4. ความบาปส่งผลต่อเราอย่างไร?

ความบาปทำให้มนุษย์ทำสิ่งที่เลวร้าย ยิ่งกว่านั้นอีก ความบาปจะนำมนุษย์ไปสู่กฎของความยุติธรรมของพระเจ้า แม้พระเจ้าจะรักมนุษย์มากเพียงไร แต่เพราะพระองค์ได้วางโทษไว้แล้วว่า “ถ้าเจ้าขืนกินในวันใด เจ้าจะตายในวันนั้นเป็นแน่” ดังนั้นพระเจ้าจึงต้องพิพากษาโทษมนุษย์ซึ่งโทษนั้นก็คือ “ความตาย”

เมื่อกล่าวถึงความตาย พระคริสตธรรมคัมภีร์หมายถึงความตาย 3 ลักษณะ คือ

  1. ตายฝ่ายวิญญาณ คือ การที่มนุษย์ถูกตัดขาดจากพระเจ้า จิตใจของมนุษย์จึงไม่มีวันอิ่มและรู้สึกขาดสันติสุข เราจึงพยายามแสวงหาความสุขอื่น ๆ มาทดแทน แต่จนแล้วจนรอดเราก็ยังรู้สึกขาดอะไรไปอย่าง สิ่งนั้นคือ “สัมพันธภาพกับพระเจ้า”
  2. ตายฝ่ายร่างกาย หมายถึงการที่วิญญาณแยกออกจากร่างกาย มนุษย์ทุกคนต้องตาย แม้ว่าจะพยายามหลีกหนีความตายอย่างไรก็หนีไม่พ้น ความตายเป็นศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์
  3. ตายชั่วนิรันดร์ หมายถึง การถูกลงทัณฑ์ทรมานในนรกบึงไฟ ถ้าเรายังไม่กลับใจใหม่ ไม่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ สักวันหนึ่งเมื่อการพิพากษาสุดท้ายมาถึง เราจะต้องตายชั่วนิรันดร์แน่นอน

 

การกลับใจใหม่

1. การกลับใจใหม่สำคัญต่อเราอย่างไร?

การกลับใจใหม่เป็นเงื่อนไขที่สำคัญในการเข้าในแผ่นดินสวรรค์ เป็นสาระที่สำคัญของข่าวประเสริฐที่พระเยซูคริสต์และสาวกของพระองค์ประกาศ เป็นด่านแรกที่จะนำเราเข้าสู่ “ชีวิตนิรันดร์”

2. การกลับใจใหม่คืออะไร?

เมื่อประกาศว่า “จงกลับใจเสียใหม่” พระเยซูคริสต์และสาวกของพระองค์หมายถึง “การหันหนีจากความบาปและหันมาแสวงหาพระเจ้า” เป็นการหันกลับทั้งการกระทำ ทั้งความคิดและจิตใจ เป็นความเข้าใจและเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าที่บริสุทธิ์และรักคนบาปอย่างเรา เป็นความรู้สึกที่สำนึกตัวว่าเป็นคนบาปและเสียใจในความบาปที่เคยทำ เป็นความปรารถนาอย่างลึกล้ำที่จะรู้จักและรักพระเจ้า

เราจะกลับใจใหม่ได้อย่างไร?

การกลับใจใหม่มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ

1) การสำนึกผิด คือ ความตระหนักว่าตนเองเป็นคนบาปและรู้สึกเสียใจในความผิดบาปที่เคยกระทำ ทำให้เกิดการสารภาพความผิดบาปทั้งสิ้นแด่พระเจ้า และขอการอภัยโทษจากพระองค์

2) การต้อนรับพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์เป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะนำเรามาถึงพระเจ้าและรับการอภัยโทษบาปจากพระองค์ เราต้องต้อนรับพระองค์เข้าสถิตในจิตใจของเราโดยความเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ เป็นการยอมรับให้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตของเรา

3) การยอมจำนน เมื่อเราได้รับการอภัยบาปแล้ว พระเยซูคริสต์ทรงกำชับไม่ให้เรากลับไปทำบาปอีก เราจะมีธรรมชาติใหม่ที่บริสุทธิ์และรังเกียจบาปรูปแบบ เราจะรับการสร้างใหม่โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าและผู้รับใช้ของพระองค์ จนกว่าเราจะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ทั้งความคิด-จิตใจและการกระทำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้จนกว่า เราจะยอมจำนนต่อพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง นั่นหมายความว่า เราจะต้องให้พระเยซูคริสต์เป็นที่หนึ่งในชีวิต ยกย่องพระองค์เป็นเจ้าชีวิตของเรา และดำเนินชีวิตตามแบบที่พระองค์วางไว้สำหรับเรา

 

 ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์

ในท่ามกลางศาสดาของศาสนาสำคัญ ๆ ของโลก มีเพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่อ้างตนว่าเป็น "พระเจ้า" เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เราอาจจะสามารถตั้งคำถามเพื่อศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้สองประเด็นหลัก ๆ คือ

1. การอ้างตนว่าเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์มีความจำเป็นและสำคัญเพียงใด?

คำตอบก็คือ จำเป็นมาก ๆ เพราะ…

  • มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถอภัยโทษความผิดบาปของมนุษย์ได้
  • มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่บริสุทธิ์ปราศจากและมีสิทธ์ที่จะให้ชีวิตชดใช้ค่าไถ่บาปให้มนุษย์ได้
  • มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่มีฤทธิ์อำนาจไม่จำกัด สามารถช่วยมนุษย์ได้ทุกอย่าง
  • มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง และสามารถถ่ายทอดสัจธรรมที่เที่ยงแท้สู่มนุษย์ได้

ดังนั้นถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ใช่พระเจ้า พระองค์ก็เป็นเพียงศาสดาที่มีชีวิตดี คำสอนดีและรักเพื่อนมนุษย์เท่านั้น แต่พระองค์จะไม่สิทธิอำนาจอะไรที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากโทษบาปได้เลย แม้จะมีคำสอนที่ดี แต่ถ้ามนุษย์ทำไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร พระเยซูคริสต์เป็นมากกว่าผู้สอนเท่านั้น พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ช่วยกู้ชีวิตของเราได้ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า

2. พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่?

ในพระคัมภีร์มีเหตุผลมากมายที่พิสูจน์ได้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า เช่น

  • พระองค์ทรงรู้ความคิดจิตใจของมนุษย์
  • พระองค์ทรงสามารถทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ โดยสิทธิอำนาจของพระองค์เอง เช่น รักษาคนตาบอด รักษาคนง่อย รักษาคนโรคเรื้อน ทำให้คนตายแล้วฟื้นคืนได้ เป็นต้น
  • สาวกที่ใกล้ชิดกับพระเยซูคริสต์ยอมรับว่าพระองค์เป็นพระเจ้า รวมทั้งกลุ่มคนที่เคยเป็นศัตรูของพระเยซูคริสต์และประชาชนที่เรียกร้องให้ตรึงพระเยซูคริสต์ที่กางเขน ในภายหลังก็ยอมรับว่าพระองค์เป็นพระเจ้า
  • คำพยากรณ์ของพระเยซูคริสต์ที่เคยพยากรณ์เกี่ยวกับอนาคตของประเทศอิสราเอลและยุคสุดท้ายล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
  • คำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจและเป็นสัจจธรรมที่ล้ำลึกเที่ยงตรง
  • ในที่สุดพระเยซูคริสต์ได้มีชัยเหนือความตาย พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นและเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ท่ามกลางคนกว่า 500 คน แม้แต่ศัตรูของพระเยซูคริสต์ก็ยังไม่มีช่องทางหรือเหตุผลที่จะปฎิเสธความจริงในเรื่องนี้

การอ้างตนเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์เป็นไปได้ 2 ทาง คือ

 1) เป็นจริง 

2) ไม่เป็นจริง

  1. ถ้าไม่เป็นความจริง มีความเป็นไปได้ 2 ทางคือ
     1) พระเยซูคริสต์ไม่รู้ตัว แสดงว่าพระองค์พูดอย่าง “คนบ้า” แต่ถ้าเราพิจารณาดูแล้ว พระองค์ไม่ใช่คนบ้าอย่างแน่นอน 
    2) พระเยซูรู้ตัวตลอดเวลา ซึ่งการพูดสิ่งที่ไม่เป็นความจริงขณะที่รู้ตัวแสดงว่าพระองค์พูด “โกหก” ซึ่งก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะพระเยซูคริสต์ไม่เคยมีประวัติเกี่ยวกับการโกหกเลยตลอดชีวิต และพระองค์ฝึกสอนสาวกให้พูดตรงไปตรงมา “จริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ นอกจากนี้มาจากสิ่งชั่ว” และถ้าพระองค์โกหกจริง ก็คงไม่ยอมตายเพราะคำโกหกของตนเอง เพราะพระเยซูคริสต์สามารถรอดพ้นจากการถูกตรึงตายที่กางเขนได้ ขอเพียงแค่ถอนคำพูดที่อ้างว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้น เราจะเห็นว่าเหล่าสาวกของพระเยซูคริสต์มากมายที่ยอมตายเพื่อยืนยันการเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ แม้ในปัจจุบันนี้ก็มีคนจำนวนมากมายที่เชื่อและยอมทนทุกข์หรือยอมตายเพื่อพระเยซูคริสต์ แสดงว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริง ๆ ไม่ใช่จอมโกหกหรือคนลวงโลก
  2. ถ้าเป็นความจริง เมื่อได้พิจารณาแล้ว เราเห็นว่ามีความเป็นไปได้เพียงทางเดียวคือ “เป็นความจริงที่พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงกล่าวอ้าง” เราควรที่จะตอบสนองต่อพระองค์ในฐานะที่เป็นพระเจ้าอย่างถูกต้อง เช่น เชื่อวางใจและพึ่งในพระองค์ นมัสการพระองค์ เลียนแบบอย่างการดำเนินชีวิตจากพระองค์ เป็นต้น

 

ทำไมพระเยซูคริสต์จึงต้องตาย?

มีเหตุผลอย่างน้อย 3 ด้านหลัก ๆ ที่จะทำให้เราเข้าใจว่า ทำไมพระเยซูคริสต์ต้องถูกตรึงตายบนไม้กางเขน?

ประการที่ 1 เหตุผลที่สืบเนื่องจากความบาปของมนุษย์

    1. เพราะต้นตอของความบาปที่มนุษย์ทำคือ การไม่เชื่อฟังพระเจ้า ดังนั้นเมื่อพระเยซูต้องการไถ่บาปมนุษย์ พระองค์จะต้องแก้ให้ตรงจุด ซึ่งก็คือ การเชื่อฟังจนถึงที่สุด ดังนั้นพระเยซูคริสต์จึงยอมเชื่อฟังพระเจ้าจนถึงที่สุด แม้ว่าจะต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน
    2. การตายของพระเยซูคริสต์ทำให้เราทุกคนที่เชื่อในพระองค์ได้ตระหนักว่า เราตายไปแล้วกับพระเยซูคริสต์ในการบาป หรือพูดง่าย ๆ ว่า เราตายจากบาปแล้ว และเราจะไม่กลับไปทำบาปอีก ชีวิตที่เรามีอยู่ในขณะนี้เป็นชีวิตของพระเยซูที่อยู่ในเรา การทำดีของคริสเตียนจึงไม่ใช่การ “ทำดีเพื่อจะได้ดี” แต่เรา “ทำดีเพราะเรามีดี” สิ่งที่ดีที่สุดที่เรามีอยู่ในชีวิตคือ “พระเยซูคริสต์” ซึ่งส่งผลให้คริสเตียนสามารถเป็นคนดีได้

ประการที่ 2 เหตุผลที่สืบเนื่องจากกฎแห่งความยติธรรมของพระเจ้า

    1. การตายของพระเยซูเป็นไปตามกฎแห่งความยุติธรรมของพระเจ้า พระเจ้ากำหนดไว้แล้วว่า “ค่าจ้างของความบาปคือความตาย” ดังนั้น เมื่อต้องการไถ่บาปให้กับมนุษย์ พระเยซูจึงต้องแลกด้วยความตาย เพื่อให้มนุษย์ทุกคนสามารถมีชีวิตใหม่ได้
    2. พระเยซูเป็นตัวแทนคนที่สองของมนุษย์ หลังจากที่ตัวแทนคนแรกคือ อาดัม ได้ทำบาปและไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้า ทำให้สายเลือดแห่งบาปฝังอยู่ในมนุษย์ทุกคน เราทุกคนจึงเป็นคนบาป แต่พระเยซูเป็นอาดัมคนที่สอง พระองค์เกิดจากหญิงพรมจารีโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า พระองค์จึงบริสุทธิ์และไม่มีสายเลือดบาป แต่พระองค์ต้องเลือกเอาระหว่างการเชื่อฟังพระเจ้าหรือการทำตามใจปรารถนาของตนเอง ในที่สุดพระองค์ก็ได้รับชัยชนะ พระองค์ยอมเชื่อฟังพระเจ้าจนต้องตายที่กางเขน พระเยซูจึงเป็นสายเลือดใหม่ของมนุษย์ ทุกคนที่เชื่อฟังพระเยซูก็จะพ้นจากสายเลือดบาป และไม่ต้องรับโทษบาปอีกต่อไป

ประการที่ 3 เหตุผลที่สืบเนื่องจากความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์

การตายของพระเยซูเป็นการสำแดงความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษยชาติ พระคัมภีร์กล่าวว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคน…” ตามปกติอาจจะมีคนบางคนที่ยอมตายเพื่อคนดีหรือตายเพื่อสิ่งที่มีค่าได้ แต่พระเยซูยอมตายเพื่อมนุษย์ทุกคน แม้เราทุกคนจะเป็นคนดีหรือเป็นคนชั่วร้ายก็ตาม พระเยซูทรงรักทุกคน และพระองค์ทรงเห็นคุณค่าของเราทุกคน พระองค์ตีคุณค่าชีวิตของเราสูงมากกว่าชีวิตของพระองค์เอง อย่าลืม! คุณเป็นคนที่พระเยซูรักมาก คุณเป็นคนที่มีค่าในสายตาของพระเยซู พระเยซูยอมตายเพื่อคุณ พระองค์ปรารถนาที่จะให้คุณได้รับชีวิตที่ดีที่สุด

ที่มา : สถาบันศึกษาพระคัมภีร์ทางไปรษณีย์นานาชาติ

GUEST BOOK / WEB BOARD / SHARE&CARE / KIDS CENTER / FAMILY / COMPOSITION / PRAY CENTER / BIBLE STUDY /ARTICLES /MALL CENTER / NEWS / PICTURES / CONTACT US / WEB LINKS /PRAISE&WORSHIP/ HOME