Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!

 

 

Coldplay กว่าจะมาถึงวันนี้ได้

Coldplay ก่อตั้งวงในปี1996 ค่ะ และทั้ง4หนุ่มชอบอะไรเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นกีฬาคริกเก็ต, หนังสือเรื่องของ เชอร์ล็อค โฮล์มส์ หนูเองเคยอ่านเหมียนกันนะ แต่ก็อ่านไม่จบ มาๆต่อกัน นอกเรื่องอยู่เรื่อยเลย 4หนุ่มชอบสตีวี่ วันเดอร์, Jurassic Five, The JBs, Super Furry Animals แหม ชอบหลากหลายแนวเลยเนอะ และ ทั้ง4คน ยังชอบประติมากรรมกรีกและโรมัน ยุคก่อน 300 ปีก่อนคริสตศักราช (รสนิยมสุดคลาสสิคเลย)

อ๊ะๆ ยังไม่ได้แนะนำสมาชิกเลยว่ามีใครบ้าง เริ่มจากคนนี้เรย คีย์แมนของวงเลยนะ....

คริส มาร์ติน
ตำแหน่ง มือกีต้าร์/ร้องนำ/เปียโน
อายุ 23 ปี
เกิดที่ เดว่อน
ประสบการณ์
ดนตรีครั้งแรก คริสเริ่มเล่นเปียโนที่บ้านตั้งแต่ยังเด็ก
ต่อมาก็หันไปจับกีตาร์ แล้วเล่นให้วง
ตั้งแต่อายุ 15

ต่อมาคนที่2นะคะ

กาย เบอร์รี่แมน
ตำแหน่ง มือเบส
อายุ 22 ปี
เกิดที่ โมลด์, นอร์ธเวลส์
ประสบการณ์
ดนตรีครั้งแรก กายหลงรักเพลงแนวฟังค์
จึงเริ่มจับเบส ตั้งแต่อายุ 13 ปี

 

คนที่3

จอนนี่ บั๊คแลนด์
ตำแหน่ง มือกีต้าร์ลีด
อายุ 22 ปี
เกิดที่ เซ้าธ์แธมป์ตัน
ประสบการณ์
ดนตรีครั้งแรก จอนเริ่มเล่นกีต้าร์ตอนอายุ 11 ปี
เพราะพี่ชายยุให้เล่น แต่จอนก็ไม่ได้เล่น จริงจังจนกระทั่ง ได้ยินเพลงของ The Stone Roses เข้า

และคนสุดท้ายมือกลองค่ะ

 

วิล แชมเปี้ยน
ตำแหน่ง มือกลอง
อายุ 22 ปี
เกิดที่ เซ้าธ์แธมป์ตัน
ประสบการณ์
ดนตรีครั้งแรก วิลเริ่มเล่นดนตรีหลายอย่างตั้งแต่
อยู่ชั้นประถม ขณะเดียวกันก็คอยเฝ้าลุ้น
ไม่ให้นักเตะทีมเซ้าธ์แธมป์ตั้น
เฉียดตกชั้นเป็นประจำทุกปี


ความคิดที่จะตั้งวงดนตรีเริ่มมาจาก คริส กับ จอน ทั้งคู่เล่นกีตาร์และแต่งเพลงด้วยกันก่อนค่ะ ต่อมา กาย ก็มาช่วยเล่นเบสให้ด้วย และ วิล ตามมาสมทบเป็นคนสุดท้ายในตำแหน่งมือกลอง ทั้งที่ไม่เคยตีกลองมาก่อนเลยนะจะบอกให้ แต่ความที่ วิล มีพื้นฐานดนตรีดี เล่นเครื่องดนตรีได้หลายอย่าง อาทิ กีต้าร์, เบส, เปียโน ก็เลยฝึกเล่นกลองได้ในเวลาไม่นานนัก คริส, กาย, จอน และ วิล ก็ตั้งวงดนตรีเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาในเดือนมกราคม 1998 เรียกตัวเองว่า Coldplay ชื่อที่ ทิม เพื่อนของ 4 หนุ่มเคยคิดจะใช้เป็นชื่อวงตัวเองแต่เปลี่ยนใจทีหลัง พวกเขาเลยเอามาใช้เป็นชื่อวงซะเลย555

 

Coldplay ไปเปิดโชว์รอบแรกที่ลอเรล ทรีในแคมเดน (ปัจจุบันปิดไปแล้ว) หลังจากนั้นไม่นาน Coldplay ก็ได้ผู้จัดการ คือ ฟิล เพื่อนนักเรียนของ คริส ที่บังเอิญแวะมาเยี่ยมพวกเขาพอดี นอกจากรับหน้าที่เป็นผู้จัดการวงให้แล้ว ยังเป็นคนควักกระเป๋าลงทุน 200 ปอนด์ให้ Coldplay ทำงานชิ้นแรก EP Safety รวม 3 เพลง ทำออกมาขายเพียง 500 ชุดเท่านั้น จุดประสงค์หลักคือเอาไว้ใช้เป็นเทปตัวอย่างส่งให้ค่ายเพลง ต่าง ๆ บันทึกเสียงกันในช่วงสุดสัปดาห์ที่ห้องอัดซิงค์ ซิตี้

7 ธันวาคม 1998 นับเป็นวันที่เปลี่ยนชีวิต Coldplay โดยสิ้นเชิง เมื่อพวกเขามีโอกาสไปเล่นในงาน In the City ในแมนเชสเตอร์ งานนี้เป็นการประกวดสุดยอดวงดนตรีหน้าใหม่ที่ยังไม่มีสังกัด แน่นอนว่ามีแมวมองจากสังกัดต่าง ๆ ไปร่วมงานด้วย รวมทั้ง ไซม่อน วิลเลี่ยมส์ จาก NME ที่ประทับใจการแสดงของ Coldplay มากจนเอา ไปเขียนชมทั้งยื่นข้อเสนอให้ Coldplay มาบันทึกเสียงซิงเกิ้ลกับค่ายอินดี้ของเขาเองที่ชื่อเฟียร์ซ แพนด้า ผลที่ได้คือซิงเกิ้ล Brothers & Sisters ต้นปี 1999 ที่ Coldplay โปรดิวซ์เองร่วมกับ ไมค์ บีเว่อร์ ออกมา ทำออกมาขายแค่ 2,500 แผ่นเท่านั้น (ต่อมาเพลงนี้ไปรวมอยู่ในอีพีที่ Coldplay ออกขายในสังกัดพาร์โลโฟนด้วย)

ต้นปีถัดมา DJ ดังของเรดิโอ 1 ทาง BBC สตีฟ ลาแม็ค เชิญให้ Coldplay มาเป็นแขกรับเชิญในรายการ Evening Session ของเขา ตอนนั้นพวกเขายังเรียนไม่จบกันเลย แต่ในวันสอบไล่ปีสุดท้ายช่วงเดือนเมษายน Coldplay ก็เซ็นสัญญากับสังกัดพาร์โลโฟน จากนั้นก็ได้เล่นเป็นวงเปิดให้ Catatonia ที่เคนทิช ทาวน์ แอนด์ ฟอรัม รวมทั้งขึ้นเวทีเทศกาลกลาสตันบิวรี่ครั้งแรก แล้วก็เล่นเป็นวงแรกเรียกน้ำย่อยคนดูด้วย

 

Coldplay - Parachutes

จากนั้น Coldplay ก็เริ่มปั้นงานชิ้นแรกให้พาร์โลโฟน ช่วงแรก ๆ ยังไม่ความคิดยังไม่ค่อยแล่นเท่าไหร่ 2 เดือนในซิงค์ ซิตี้ สตูดิโอ และ โอริโนโค สตูดิโอ Coldplay ได้เพลงใหม่มา 3 เพลง พวกเขาบวกเพลงเก่าจาก EP ชุด Safety กลายเป็น EP ชุด The Blue Room ทำออกขาย 5,000 แผ่นในเดือนตุลาคม 1999 โปรดิวซ์โดย คริส อัลลิสัน และ นิคกี้ รอสเซ็ตติ (ซึ่งทางวงบอกว่ามีส่วนสร้างความขลุกขลัก เพราะความคิดสวนทางกับวงตลอด) เพลงดังของ EP ชุดนี้คือ Bigger Stronger ที่ชนะใจ DJ ดังอย่าง สตีฟ ลาแม็ค และ โจ ไวลี่ย์ ได้สำเร็จ เดือนเดียวกัน Coldplay ได้เริ่มออกทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศครั้งแรก โดยเล่นเป็นวงเฮดไลน์ร่วม กับ Bellatrix

พอปี 2000 เริ่มต้นขึ้น Coldplay ก็ออกทัวร์คอนเสิร์ต NME Carling Premiere Tour (หรือเรียกเล่น ๆ ว่า Brat Bus Tour) ร่วมกับวงอินดี้หน้าใหม่ ๆ อย่าง Shack, Campag Velocet, และ Les Rhythms Digitales พอทัวร์กับ NME เสร็จก็เข้าสตูดิโอทำงานกันต่อเลย ในช่วงแรก Coldplay ในสตูดิโอแค่ 1 อาทิตย์ก่อนออกทัวร์ต่อ แต่ก็ได้ออกมาถึง 3 เพลงและกลายเป็นซิงเกิ้ล Shiver ในเดือนมีนาคม ที่กลายเป็น Top 40 แผ่นแรกของวงอย่างรวดเร็ว จากนั้น Coldplay ก็เริ่มมีไอเดียในการแต่งเพลงพรั่งพรู จบจากทัวร์กับ Terris หรือ Muse พวกเขาได้เพลง Yellow ที่ออกขายในเดือนมิถุนายนก่อนอัลบั้ม Parachutes วางแผง 2 อาทิตย์ และกลายเป็น Top 5 ในอังกฤษ เข้าอันดับที่ 4 สูงสุดในสัปดาห์แรก

Coldplay ใช้เวลานาน 6 เดือนบันทึกเสียงอัลบั้มชุดแรก Parachutes ที่ลอนดอนและลิเวอร์พูล Coldplay โปรดิวซ์อัลบั้มนี้เองร่วมกับเคน เนลสันที่เคยเป็นเอ็นจิเนียร์ ในอัลบั้ม Bring It On กับ Liquid Skin ของ Gomez อัลบั้ม Parachutes ขึ้นถึงอันดับ 1 ในอังกฤษทันทีที่ออกขาย เขี่ยอัลบั้มดังอย่าง Marshall Mathers LP ของ Eminem ตกจากอันดับ 1 ไปได้ คำวิจารณ์ออกมาดีมาก ฟังแล้วนึกถึงวงดี ๆ หลายคนอย่าง Radiohead, Travis และ เจฟฟ์ บั๊คลีย์ นอกจากนี้ Parachutes ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอันทรงเกียรติ "เมอร์คิวรี่ มิวสิค ไพร้ซ์" ของอังกฤษซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่อัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปีด้วย แต่พลาดท่าให้ Badly Drawn Boys ไปอย่างน่าเสียดาย อย่างไรก็ตามแค่ได้รับการเสนอชื่อก็เป็นเครดิตที่ดีมากพออยู่แล้ว

Coldplay - A Rush of Blood To The Head

เดือนตุลาคม Coldplay ตัด Trouble เป็นซิงเกิ้ลใหม่ ก่อนจะเริ่มเบนเข็มไปสร้างชื่อในอเมริกาบ้าง ช่วงปลายปี Yellow เริ่มฮิตตามสถานีวิทยุในอเมริกา พอต้นปี 2001 Coldplay ออกทัวร์ในอเมริกาเหนือ มีกระแสตอบรับจากแฟน ๆ ดีมาก บัตรคอนเสิร์ตขายหมดเกลี้ยงทุกรอบ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ Coldplay กลับบ้านมารับรางวัลศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยมและอัลบั้มยอดเยี่ยม จากงานบริท อะวอร์ดส์ประจำปี 2001 ที่พวกเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงถึง 5 สาขา (อัลบั้มยอดเยี่ยม, ศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยม, ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม, ซิงเกิ้ลยอดเยี่ยมจากเพลง Yellow และ มิวสิค วิดีโอยอดเยี่ยมจากเพลง Yellow)

Coldplay ทัวร์ต่อในอังกฤษจนถึงเดือนเมษายน แล้วก็กลับไปทัวร์อเมริกาอีกตั้ง รวมทั้งขึ้นเวทีตามเทศกาลดนตรีต่าง ๆ รวมแล้ว Coldplay ทัวร์โปรโมต Parachutes นานถึงเกือบ 2 ปี พักหลัง (ประมาณมิถุนายน 2001) Coldplay เริ่มเล่นเพลงใหม่ ๆ ที่แต่งขึ้นระหว่างทัวร์ให้แฟนเพลงได้ฟัง เมื่อทัวร์เสร็จเดือนกันยายน 2001 Coldplay รีบกลับมาเข้าสตูดิโอทันที ทำพรีโปรดักชันก่อนที่เมย์แฟร์ สตูดิโอแถวพริมโรส ฮิลล์ในลอนดอน เพื่อให้โปรดิวเซอร์คนเดิมจากชุดแรก เคน เนลสัน มีไอเดียว่าเขาอยากได้ซาวด์ประมาณไหน 2 เดือนให้หลังทุกอย่างไปได้สวยแทบไม่มีปัญหาอะไรเลย จนทำให้พวกเขาเริ่มรู้สึกแปลก ๆ ว่าอะไรจะง่ายขนาดนั้น คริส มีทฤษฎีส่วนตัวว่างานดี ๆ ไม่ควรได้มาอย่างง่ายดาย เลยกลับมาลองฟังงานใหม่อย่างตั้งใจ และตัดสินใจโละบางเพลงออกไปอย่าง Animals, Idiot, I Ran Away หรือ Murder ที่แฟน ๆ ได้ยินกันบ่อย ๆ ในคอนเสิร์ตโปรโมต Parachutes ช่วงหลัง และเริ่มทำงานกันอีกครั้ง
คราวนี้ Coldplay ก็ย้ายมาเข้าสตูดิโอโปรด Studio 3 Parr St.Liverpool ในลิเวอร์พูล และแล้วบรรยากาศการทำงานก็เครียดขึ้นมาสมใจ Coldplay เพราะปัญหาเรื่องการรักษาเดดไลน์ แต่เพลงที่โละไปกลายเป็นที่มาของเพลงใหม่ที่เพราะ ๆ ทั้งนั้น อย่างเช่น The Scientist, Daylight, A Whisper หรือ Clocks ที่บันทึกเสียงเสร็จภายในเวลาแค่ไม่กี่วันหลังจากแต่งเสร็จ Coldplay ปิดท้ายทำงาน 10 เดือนของอัลบั้มชุดที่ 2 ที่ Air Studios ในลอนดอน A Rush Of Blood To Head ออกมาสำเร็จท่ามกลางความโล่งใจและสติแตกของวง ถึงขนาดที่ คริส ให้สัมภาษณ์ว่าอัลบั้มชุดนี้อาจเป็นงานชุดสุดท้ายของ Coldplay (โอ้ว์ น่าเสียดายนะ)

ต้นเดือนสิงหาคม Coldplay ตัด In My Place เป็นซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มชุดที่ 2 A Rush Of Blood To Head ที่ออกขายตามมาในวันที่ 27 สิงหาคม สำหรับอัลบั้มชุดนี้ Coldplay ประเดิมการทัวร์กันที่อเมริกาทันที หลังจากไปปรากฏตัวตามเวทีเทศกาลดนตรีใหญ่ ๆ ในอังกฤษไปแล้วก่อนหน้านี้ ซิงเกิ้ลที่ 2 จากอัลบั้มชุดนี้คือ เพลง The Scientist และจากงานชุดนี้แหละทำให้Coldplayคว้ารางวัลแกรมมี่สาขาเพลงอัลเทอเนทีฟมาได้ (น่าภูมิใจนะคะเพราะพวกเขาเป็นคนอังกฤษ) และตอนนี้มีเพลงClockออกมาเป็นซิงเกิลที่3แล้วนะ

 

The Gunner Hooligan

HOME