Manic Street Peachers สมาชิก
เจมส์ ดีน แบรดฟีลด์ (ร้องนำ/ลีดกีต้าร์)
นิคกี้ ไวร์
เรื่องราวของ Manics เริ่มที่เจมส์ ดีน แบรดฟีลด์ (ร้องนำ,กีต้าร์) นิคกี้ ไวร์ (หรือนิค โจนส์ มือเบส) ฌอน มัวร์ (มือกลอง) และทริกเกอร์ (ริธึ่ม กีต้าร์) ร่วมกันตั้งวงดนตรีชื่อว่า Betty Blue ขึ้นมา หลังจากนั้น อีก 2 ปี ทริกเกอร์ก็ออกจากวง โดยขณะนั้น Betty Blue ได้เปลี่ยนชื่อ เป็น Manic Street Preachers แล้ว ในฤดูร้อนปี 1988 เพื่อนร่วม มหาวิทยาลัยสวอนซีของนิคกี้ ไวร์ที่ชื่อริชชี่ เจมส์ ก็เข้ามารับตำแหน่ง มือริธึ่ม กีต้าร์ ก่อนหน้านั้น ริชชี่เป็นคนขับรถให้วงมาตลอด พอมีสมาชิกครบตำแหน่ง
Manics ก็เริ่มทำเทปตัวอย่าง แล้วออก ซิงเกิ้ลเพลง Suicide Alley มาเป็นซิงเกิ้ลแรกในเดือนสิงหาคม
ปกซิงเกิ้ล Suicide Alley เหมือนปกอัลบั้มแรกของ The Clash มาก แถมแนวเพลงของ
Manics ในช่วงนั้นก็เป็นแนวเพลงที่ได้รับ Manic Street Preachers เป็นวงที่น่าสนใจมากที่สุดวงหนึ่งใน ช่วงต้นทศวรรษ 90 อีพีชุดแรกที่ Manics ทำออกขายในฤดูร้อนปี 1990 คือ New Art Riot ต่อจากนั้นก็มีซิงเกิ้ลคู่ Motown Junk กับ You Love Us ที่ออกขายในสังกัดเฮฟเว่นลี่ เร็คคอร์ดส์ ช่วงต้นปี 1991 ไม่ว่าจะเป็นผลงานเพลงกับการที่วง สวมเสื้อเขียนสโลแกนเจ็บ ๆ โดนใจสุด ๆ ทำให้ Manics เริ่มได้รับความสนใจอย่างสูงจาก สื่อมวลชนในวงการเพลง แต่เหตุการณ์ที่ทำให้ใครหันมามองว่า Manics เป็นใครคือ เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมปี 1991 ที่ริชชี่ให้สัมภาษณ์สตีฟ ลาแม็ค จากนิตยสาร NME ในการสัมภาษณ์ครั้งนั้น สตีฟ ลาแม็คถามถึงความเป็น "ตัวจริง" ของ Manics ริชชี่พยายาม อธิบายอยู่นานว่า Manics มีจุดยืนที่ต่างจากวงอื่น ๆ เขาพยายาม พูดถึงความตั้งใจของทุกคนในวงในการทำงานเพลง ในขณะที่สตีฟ ค่อนข้างจะป้อนคำถามที่ทำให้ Manics ดูเหมือนวงดนตรี ที่ฉกฉวยโอกาสมากกว่าวงที่เป็นนักดนตรี"ตัวจริง" ทำให้เป็นเรื่อง เป็นราวถกเถียงกันอยู่นาน จนในที่สุดริชชี่เบื่อที่จะอธิบาย เขาเลยหยิบ มีดโกนมากรีดเป็นคำว่า "4 Real" หรือ "ตัวจริง" บนแขน เล่นเอาสตีฟงงและอึ้งไปเลย เหตุการณ์นั้นกลายเป็นเหมือน ตำนานของวงไปแล้ว นิตยสารหลายเล่มเอาเรื่องไปลง แถมยังทำให้ Manic Street Preachers ได้เลื่อนขั้นจากวงอินดี้เป็นวง ที่ได้เซ็นสัญญากับสังกัดใหญ่โซนี่ด้วย หลายคนคิดว่าการกระทำ ของริชชี่ครั้งนี้เป็นการทำเพราะอยากดังและ เรียกร้องความสนใจ และคงไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีก แต่เมื่อหลายปีผ่านไป ทุกคนก็ได้ทราบว่าการกระทำครั้งนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่แสดง ให้เห็นถึงอารมณ์อันแปรปรวนของริชชี่ Stay Beautiful เป็นเพลงแรกที่ Manics ทำออกขายใน สังกัดโซนี่ ซิงเกิ้ลนี้ขึ้นถึงท็อป 40ของอังกฤษในช่วงปลายฤดูร้อนปี 1991 ในช่วงต้นปี 1992 เพลง You Love Us ถูกนำมา บันทึกเสียงใหม่ติดท็อป 20 Manic Street Preachers ออกอัลบั้มชุดแรก Generation Terrorists มาในเดือนกุมภาพันธ์ 1992 ช่วงนั้นมีแฟนเพลงที่คอยติดตามผลงานของพวกเขา อยู่แล้ว มากมาย แฟนเพลงจำนวนมากของ Manics พยายามเลียนแบบ ไลฟ์สไตล์ของศิลปินในดวงใจของพวกเขา แต่งหน้าแต่งตัวแนว "แกลม" อ่านหนังสือเหมือนกัน และชื่นชอบนักปรัชญาคนเดียวกัน Manics พวกเขามั่นใจผลงานของตัวเองมาก ถึงกับประกาศไว้ว่า อัลบั้มชุดแรกของพวกเขาน่าจะขายดีกว่า Appetite for Destruction ของ Guns 'N' Roses หลังออกอัลบั้มแรก Manic Street Preachers ก็ประกาศว่า จะยุบวง แต่พอถึงฤดูใบไม้ร่วง แฟนเพลงของ Manics ก็ได้ดีใจเมื่อ Manics นำเพลง Suicide Is Painless มาร้องใหม่จนกลายเป็น เพลงฮิตติดท็อป 10 ส่งผลให้ Manics ตัดสินใจทำผลงาน ออกมาต่อไป ในฤดูร้อนปี 1993 อัลบั้มชุดที่ 2 ของ Manics ก็ตามออกมาคือชุด Gold Against The Soul แนวเพลงในชุดนี้ ใกล้เคียงกับแนวเพลงตลาดวงกว้างมากกว่าชุดแรก แต่ได้รับการต้อนรับ จากนักวิจารณ์น้อยกว่า ไม่นานหลังออกอัลบั้ม Gold Against the Soul ในวงก็เริ่ม แตกคอกัน ส่งผลกระทบถึงผลงานทำให้จำนวนแฟนเพลงลดน้อยลง นิคกี้ ไวร์ตก เป็นข่าวเมื่อขึ้นเวทีแล้วพูดถึงไมเคิล สไตป์วง R.E.M. ว่าเขาน่าจะตายเพราะโรคเอดส์ เป็นคำพูดที่ค่อนข้างโหดร้ายอยู่พอควร เพราะพอดีตอนนั้นก็มีข่าวลือว่า ไมเคิลป่วยโรคเอดส์พอดี แต่เป็นปัญหาใหญ่ของวงยังคงเป็นริชชี่
เขาเป็นโรคอโนเร็กเซีย (ความผิดปกติในการรับประทานอาหาร) ดื่มอัลกอฮอล์อย่างหนัก
มักมีอาการซึมเศร้าจนถึงขั้นทำร้ายตัวเองหลายครั้ง ครั้งที่เป็นข่าว อื้อฉาวที่สุดคือครั้งที่
Manics มาแสดงคอนเสิร์ตที่เมืองไทย เพราะ ริชชี่ใช้มีดที่แฟนเพลงมอบให้กรีดหน้าอกตัวเองแล้วปรากฏตัว
ทั้งอย่างนั้น ช่วงต้นปี 1994 ริชชี่ต้องเข้ารับการรักษาที่คลีนิคเอกชน แห่งหนึ่ง
หลายครั้งเขามักปล่อยให้เพื่อน ๆ ขึ้นเวทีโดยไม่มีเขา อาการทางจิตของริชชี่เห็นได้ชัดในอัลบั้มชุดที่
3 คือชุด The Holy Bible มีแหล่งข่าวรายงานว่า Manics ไปบันทึกเสียงอัลบั้มนี้ใน
แหล่งเที่ยวกลางคืนของเวลส์ อย่างไรก็ตาม ผลงานในอัลบั้มนี้ ี้กลับได้รับ
คำชมจากนักวิจารณ์อย่างมาก หลังออกขายในช่วง แม้ Manics จะเรียกคะแนนคืนจากนักวิจารณ์ได้ และได้ตัวริชชี่ เจมส์กลับมาร่วมวงอีกครั้ง แต่สถานการณ์ของ Manics กลับยัง ไม่ค่อยดี ก่อนที่ Manics จะนำอัลบั้ม The Holy Bible ออกขายในอเมริกาและเริ่มเดินทางไปทัวร์คอนเสิร์ตได้ไม่นาน ริชชี่ เจมส์ก็เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเอ็มบาสซี่ที่พักอยู่ตอนนั้น แล้วขับรถไป ที่แฟล็ตของตัวเองในคาร์ดิฟฟ์ ทิ้งบัตรเครดิตกับหนังสือเดินทาง ไว้ที่นั่น ในสัปดาห์เดียวกันนั้นเองก็มีคนแจ้งตำรวจว่าริชชี่หายตัวไป มีคนพบรถว็อกซ์ฮอลล์ของเขาที่ลานจอดรถใกล้สะพานเซเวอเรน ชาน เมืองบริสตอล ซึ่งเป็นจุดที่มีการฆ่าตัวตายมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง หลายเดือนผ่านไป ก็ยังไม่มีใครตามตัวเขาพบ ตำรวจก็สันนิษฐานว่า ริชชี่เสียชีวิตแล้ว แม้เรื่องนี้จะมีผลกระทบต่อ Manics อย่างมาก แต่สมาชิกอีก 3 คนที่เหลือไม่ได้ท้อถอยและยังคง เล่นดนตรีต่อไป เป็นทรีโอ ทั้งยังสานต่อผลงานการแต่งเพลงของริชชี่ที่ทิ้งไว้หลายเพลง Manic Street Preachers กลับขึ้นเวทีอีกครั้งในเดือนธันวาคม ปี 1995 โดยเล่นเป็นวงเปิดให้ Stone Roses ถัดจากนั้น ในเดือนพฤษภาคม 1996 Manics ก็ออกอัลบั้ม Everything Must Go ก่อนหน้านั้นมีการตัดซิงเกิ้ล A Design For Life ออกมาก่อน และซิงเกิ้ลดังกล่าวก็ขึ้นถึงอันดับ 2 ได้ อัลบั้ม Everything Must Go เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ Manics ทำให้ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์มากมาย จน Manics กลายเป็นศิลปินร็อคชั้นนำของอังกฤษ และนิตยสารวงการเพลง หลายเล่มก็ยกให้อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มแห่งปี 1996 แม้ Manics จะประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่แฟนเพลงรุ่นแรก ๆ จำนวนมากกลับไม่พอใจภาพลักษณ์อนุรักษ์นิยมของ Manics ยุคหลัง อย่างไรก็ตามอัลบั้มชุดนี้ขายได้หลายล้านชุด ส่งให้ Manics โด่งดังไปทั่วโลก เว้นอเมริกา ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ อัลบั้มนี้วางขายในอเมริกาช้า (วางจำหน่ายเดือนสิงหาคม 1996) หลังอัลบั้มออกขายในอเมริกา Manics ก็วางแผนจะออกทัวร์ คอนเสิร์ตที่นั่นด้วย โดยเล่นเป็นวงเปิดให้ Oasis แต่พี่น้องกัลเลเกอร์ มาทะเลาะกันเสียก่อน Oasis เลยยกเลิกการทัวร์คอนเสิร์ต ในอเมริกาครั้งนั้นทั้งหมด ทำให้ Manics ต้องแสดง คอนเสิร์ตตามลำพังและไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก เมื่อกลับถึงอังกฤษ Manics ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย แต่กลับ ไม่มีผลงานใหม่ออกมา แฟนเพลงต้องรอจนถึงเดือนสิงหาคม 1998 กว่า Manics จะออกอัลบั้ม This Is My Truth, Tell Me Yours แม้จะทิ้งช่วงไปนานแต่อัลบั้มนี้ก็ประสบ ความสำเร็จเช่นกัน ทั้งในอังกฤษ ยุโรป และเอเชีย แต่ไม่ได้นำออกขายในอเมริกา เพราะ Manics กำลังจะออกจาก สังกัดเอพิคในอเมริกา แล้วย้ายไปอยู่กับ Virgin แทน เดิมค่ายเพลงในอเมริกาไม่ค่อยสนใจ Manics นัก แต่เมื่อมีอัลบั้ม ที่ขายได้หลายล้านชุดถึง 2 อัลบั้ม ประกอบกับรางวัล อีกมากมายในอังกฤษ Manics จึงเริ่มได้รับความสนใจ หลังย้ายไปอยู่กับเวอร์จิน Manics ก็นำอัลบั้ม This Is My Truth, Tell Me Yours ออกขายในเดือนมิถุนายน 1999 (เกือบ 1 ปีหลังจากนำอัลบั้มนี้ออกขายครั้งแรกในอังกฤษ) ในปี 2000 Manics เดินทางไปสเปนเพื่อบันทึกเสียงอัลบั้มชุดใหม่ ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2001 Manics กลายเป็นวงดนตรีจากโลก ตะวันตกวงแรกนับจากทศวรรษที่ 70 ีที่เปิดคอนเสิร์ตที่คาร์ล มาร์กซ์ เธียเตอร์ในฮาวานา ประเทศคิวบา นอกจากนี้ต้นเดือนมีนาคมปีเดียวกัน พวกเขาก็ยัง เป็นวงดนตรีวงแรก ของอังกฤษที่ออกซิงเกิ้ลทีเดียว 2 แผ่นรวดคือ So Why So Sad กับ Found That Soul ส่วนอัลบั้มชุดที่ 6 Know Your Enemy นั้น ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ปลายปี2003 Manicได้ออกรวมฮิตชุด Forever Delayed ออกมา มีเพลงใหม่2เพลงคือ There By A Grave Of God และ Door To The River ทราบหรือไม่ สมาชิก Manics ทั้ง 4 คนเติบโตขึ้นมาในแบล็ควูด, เกวนท์, เซ้าธ์เวลส์ ซึ่งมีพลเมืองประมาณ 20,000 คน ทั้งหมดเรียนที่เดียวกัน คือที่พอนตี้พริด จูเนียร์ สกูล, โอ๊คเดล คอมพรีเฮนซีฟ และครอสคีย์ คอลเลจ เจมส์กับฌอนเป็นลูกพี่ลูกน้องและนอนห้องเดียวกัน ที่บ้านเจมส์อยู่หลายปี เจมส์กับนิคกี้ซื้อกีต้าร์ในปี 1986 เหมือนกัน โดยในปีนั้นเป็นปีที่เพลง แนวพังค์ร็อคครบรอบ 10 ปี จึงมีการ กล่าวถึงเพลงแนวนี้มากมายตามสื่อต่าง ๆ รายการโทรทัศน์ รายการหนึ่งที่รวมเพลงเก่าแนวนี้ไว้ได้นำภาพของ Sex Pistols, The Clash และ Joy Division มาออกอากาศ และรายการนี้ก็ กลายเป็นแรงบันดาลใจ ของบรรดาสมาชิกคณะ Manic Street Preachers ในที่สุด ในปี 1989 Manic Street Preachers เริ่มแต่งเพลงกันเอง เพลงหนึ่งที่นิคกี้แต่งคือ Aftermath 84 เกี่ยวกับความล้มเหลว ของการนัดหยุดงานของคนงานเหมือง ซึ่งมีผลกระทบต่อชุมชน ชาวแบล็ควูดอย่างรุนแรง นิคกี้บอกว่า "ตอนนั้นคนที่นี่คอตกกันหมด เราเป็นฝ่ายแพ้" ริชชี่เป็นคนขับรถแวนให้วง และเป็นคนถ่ายรูปสมาชิกในวงเพื่อ ใช้เป็นปกซิงเกิ้ลแรกคือ Suicide Alley ที่ออกขายในเดือนสิงหาคม 1989 เขาเข้ามาเป็นสมาชิก Manic Street Preachers เต็มตัวในวันที่ 11 ธันวาคม 1989 ในตำแหน่งกีต้าร์ริธึ่ม ส่วนนิคกี้ก็หันไปเล่นเบสแทน ก่อนหน้าจะเป็น Manic Street Preachers พวกเขาใช้ชื่อวง ว่า Betty Blue (ใช้ชื่อนี้อยู่ประมาณสัปดาห์เดียวช่วงซ้อม) ซึ่งเป็น ชื่อภาพยนตร์ฝรั่งเศสเรื่องดัง มี เบียทริซ ดาล แสดงนำ และต่อมา Manic Street Preachers ก็เอาภาพเบียทริซมาใส่ไว้ใน อาร์ตเวิร์คของเพลง You Love Us ด้วย ชื่อ Manic Street Preachers นี้มาจากการเดินทางเล่นดนตรี เพื่อหาเงินของเจมส์นักร้องนำของวง เขาเคยไปคาร์ดิฟฟ์เป็น ประจำช่วง สุดสัปดาห์เพื่อเล่นเพลงของ The Clash แต่การ แต่งตัวของ เขาทำให้คนที่มาเดินช็อปปิ้งกลัวกันหมด ริชชี่เล่าเรื่อง เจมส์ไว้ในปี 1992 ว่า "เจมส์จะวิ่งตามคนบนถนนแล้วขอเงิน ในสภาพที่อุบาทว์มาก เจมส์ไม่ใส่เสื้อแถมยังโกนหัวอีกต่างหาก" นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้ว ชื่อ Manic Street Preachers ยังคล้ายกับชื่อซิงเกิ้ลเพลง Clash City Rockers ของ The Clash ที่ออกขายในปี 1978 ด้วย Manics เคยออกผลงานก่อนที่จะได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง เมเจอร์ พวกเขาลงมือทำอัลบั้ม Suicide Alley เองในเดือน สิงหาคม 1989 โดยทำออกมา 300 ชุด ริชชี่รับผิดชอบเรื่อง อาร์ตเวิร์คทั้งหมด นอกจากนี้ยังเคยทำเพลง UK Channel Boredom ซึ่งแถมไป กับหนังสือแจกแฟนคลับที่ชื่อ Hopelessly Devoted (ฉบับเดือนมีนาคม 1990) และยังมี ซิงเกิ้ล New Art Riot ที่ออกมาภายใต้สังกัดแดเมจด์ กู๊ดส์ เมื่อเดือนมิถุนายน 1990 ด้วย หลังจากนั้น Manics ย้ายไปอยู่กับสังกัดเฮฟเวนลี่ ออกซิงเกิ้ลมา 2 เพลง คือ Motown Junk (เดือนมกราคม 1991) และ You Love Us (เดือนพฤษภาคม 1991) ต่อมา Manics ย้ายไป อยู่สังกัดแคฟฟ์ (ที่บ็อบ สแตนลี่ย์ของคณะ St. Etienne เป็นผู้ก่อตั้ง) แล้วออกซิงเกิ้ล Feminine Is Beautiful มาขายจำนวน 500 แผ่นใน เดือนกรกฎาคม 1991 ในวันที่ 21 พฤษภาคม 1991 Manics เซ็นสัญญากับค่าย โคลัมเบีย ในเครือโซนี่ และต่อจากนั้นอีก 3 ปีก็ย้ายมาอยู่เอพิค เร็คคอร์ดส ซึ่งเป็นอีกสังกัดในเครือโซนี่ เพราะร็อบ สตริงเกอร์เป็น คนดึงให้ Manics มาอยู่สังกัดโคลัมเบีย ตั้งแต่ร็อบยัง เป็นฝ่าย หาตัวศิลปินที่นั่น เมื่อร็อบได้มาเป็นกรรมการผู้จัดการของเอพิค ในเวลาต่อมา ร็อบจึงดึง Manics มาอยู่ด้วย ตอนที่ริชชี่ใช้มีดโกนกรีดคำว่า 4 real ไว้ที่แขนในวันที่ 15 พฤษภาคม 1991 เขาต้องเย็บถึง 17 เข็ม เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังการแสดง คอนเสิร์ต ที่ศูนย์ศิลปะนอริช ผู้ที่มีส่วนกระตุ้นให้ริชชี่ต้องลงทุน กรีดเนื้อตัวเอง คือสตีฟ ลาแม็ค นักเขียนของนิตยสาร NME หลังคอนเสิร์ตครั้งนั้น สตีฟได้สัมภาษณ์ริชชี่ แล้วเกิดถกเถียงกันขึ้น เพราะสตีฟเห็นว่า Manics ได้รับอิทธิพลจากแนวพังค์ และไม่ยอมเชื่อว่า Manics เป็น "ตัวจริง" ริชชี่กล่าวถึง เรื่องในวันนั้นว่า "ผมพยายามอธิบายให้สตีฟ ฟังเป็นชั่วโมงว่า Manics เป็นอย่างไร ผมไม่ได้ทำร้ายหรือพูดจา ดูหมิ่นเขา ผมกรีดตัวเองแทน เพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าเราโกรธ และแสดงให้เขาเชื่อว่าเราเอาจริง เป็นตัวจริง (for real)" รอยสักบนปก Generation Terrorists อัลบั้มแรกของ วงเป็นรอยสักของริชชี่เอง เขาตั้งชื่อมันว่ารอยสัก "useless generation" แต่เอามาแต่งใหม่ ภาพรอยสักนี้ยังมีอยู่ในมิวสิค วิดีโอ Love's Sweet Exile ด้วย ทีแรก Manics อยากใช้ ภาพเบิร์ต สเติร์นกับมาริลีน มอนโร แต่ตัวแทนของเบิร์ต สเติร์น เรียกเงิน 3,000 เหรียญ ทางวงจึงปฏิเสธไป ภาพอื่น ๆ ที่ Manics คิดจะเอามา ใช้ขึ้นปก ชุดแรกแต่ก็ไม่ได้ใช้ก็มีอย่าง ภาพ Piss Christ ของเซอร์ราโน่, ภาพ Allegory ของมันช์, ภาพ Crucifixion ของกรุนวอลด์ และภาพ Christ of St. John of the Cross ของซัลวาดอร์ ดาลี่ ว่า Manics เอาภาพปกชุด The Holy Bible มาจากไหน ? Manics เป็นวงรสนิยมสูง ต้องลงทุนหนักมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่การวางแผนทำปก Generation Terrorists แล้ว ภาพที่ทางวงอยากเอามาใช้เป็นปกอัลบั้มที่ 3 ส่วนมากแพงจนน่าตกใจ แต่ในที่สุด Manics ก็ได้บทสรุปที่งานของเจนนี่ ซาวิลล์เจ้าของภาพ Strategy (South Face/ Front Face/ North Face) หลังจากไปเห็นภาพนั้นในคอลเล็คชั่นของซัตชี่ที่ลอนดอน ริชชี่เกลี้ยกล่อมให้เจนนี่อนุญาตให้ใช้ภาพได้ฟรีจนสำเร็จ เสียงคนพูดช่วงอินโทรเพลง Little Baby Nothing เป็นเสียงพูด ของมาร์ลอน แบรนโดที่พูดกับวิเวียน ลีห์ในภาพยนตร์เรื่อง A Streetcar Named Desired ซิงเกิ้ลท็อป 10
แผ่นแรกของ Manics ในอังกฤษคือเพลง Suicide Is Painless ในปี 1992 Manics
เป็น 1 ใน ศิลปินที่ได้ร่วมงานในอัลบั้ม Ruby Trax ซึ่งเป็นซีดีคู่รวมเพลง
เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปีของนิตยสาร NME โดยทางนิตยสาร NME ได้เชิญวงดนตรีถึง
40 วงมา ให้แต่ละวงเลือกซิงเกิ้ลอันดับที่ 1 ของอังกฤษเพลงไหนก็ได้มาทำใหม่
(อันดับเพลงของอังกฤษในปีนั้น ความหมายของชื่อเพลง Le Tristesse Durera ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่าจะยังคงมีความเศร้าอยู่ต่อไป เชื่อกันว่าวินเซ้นต์ แวน โก๊ะห์ จิตรกรเอกของโลกพูดคำนี้ก่อนตาย
ประโยคแรกในเพลง A Design For Life ที่ว่า "Libraries gave us power" มีที่มาจากห้องสมุดพิลเกวนเนลลี่ ที่นิวพอร์ท, เกวนท์ ที่นั่นมีแผ่นหินสลักคำว่า "ความรู้คือพลัง" (Knowledge is power) อยู่ด้านหน้า ห้องสมุดแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยเงินบริจาคของ คนงานเหมืองในท้องถิ่นเมื่อปี 1904 โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ชนชั้น แรงงานได้มีโอกาสพัฒนาตัวเอง ชื่อเพลง Kevin Carter พูดถึงเควิน คาร์เตอร์เป็นช่างภาพ รางวัลพูลิตเซอร์ ภาพเด็กที่กำลังจะตาย (และมีแร้งรออยู่) ซึ่งเควิน ถ่ายมาจากรวันดา สร้างชื่อเสียงให้เขามากมาย แต่เขารู้สึก กระอักกระอ่วนที่ได้รับการยกย่องจากภาพนั้น หลังจากนั้นไม่นาน เควินก็ฆ่าตัวตาย ชื่ออัลบั้ม This
Is My Truth, Tell Me Yours มีที่มาจาก สุนทรพจน์ของอานูริน เบแวน นักการเมืองพรรคแรงงาน
มีส่วนอย่างมากในการจัดให้มีสวัสดิการ แก่ประชาชนใน อังกฤษ ยุคหลังสงคราม
นิคกี้ ไวร์ไปร่วมงานรำลึกถึงอานูรินครั้งหนึ่ง จึงได้ฟังสุนทรพจน์ที่ นักการเมืองผู้นี้กล่าวไว้นานมาแล้ว
This Is My Truth จึงเป็นงานที่ Manics แอบขโมยสุนทรพจน์ของอานูริน เบแวนมาใช้
ตอนนี้แม้จะหาริชชี่ผู้สาบสูญไม่พบ แม้ว่าจะมีข่าวว่าริชชี่ไปโผล่ที่อินเดียบ้าง ที่นู่น ที่นี่บ้าง แต่ครอบครัวของริชชี่ก็ไม่ยอมให้ริชชี่ตาย ให้ระบุว่าเป็นคนสาบสูญต่อไป
|