Ad Majorem Dei Gloriam
Catholic Home Page For the Highest Glory of God
| มหาพรต | ปัสกา | ปัสกาของพระคริสต์ |
| ปาสกา ความหมายของชีวิตใหม่ | พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพ | การกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า |
Ad Majorem Dei Gloriam /Catholic Home Page For the Highest Glory of God

มหาพรต (Lent)
(คอลัมน์ "เปิดซองคำถาม" โดยบอระเพ็ด เจ็ดย่านน้ำ จากวารสารอุดมศานต์ )
  • Lent เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษ มาจากภาษาอังกฤษเก่า (แองโกลแซกซอน) Lencten แปลว่า น้ำพุ หมายถึงระยะเวลา 40 วัน ก่อนฉลองปัสกา เป็นเวลาอุดมสมบูรณ์ของฝ่ายจิตใจ ส่วน"มหาพรต" ภาษาไทยแปลว่า การถือพรตครั้งใหญ่ คริสตังรุ่นก่อนเรียกมหาพรต เป็น "เทศกาลศีลบวชใหญ่" เพราะเป็นเทศกาลที่มีการโปรดศีลบวชใหญ่ (Major Order) อันที่จริงกิจกรรม ที่สำคัญในเทศกาลมหาพรต ใน 3 ทศวรรษแรก มิใช่การโปรดศีลบวช แต่เตรียมคริสตังสำรองรับศีลล้างบาป ไม่ได้เน้นการบำเพ็ญพรตเท่าไหร่นัก มีการจำศีลอดอาหารกันแค่ 1 หรือ 2 วันก่อนปาสกาเท่านั้น หรืออย่างมาก 40 ชั่วโมงติดต่อกัน กฎหมายบังคับให้จำศีลอดอาหาร 40 วัน เกิดขึ้นครั้งแรกปลายศตวรรษที่ 4 ภาษาลาตินเรียกว่า Quadragesima เดิมกฎหมายนี้ มีไว้สำหรับผู้เตรียมตัวรับศีลล้างบาปมากกว่า การจำศีลนั้น พระศาสนจักรตะวันตก บังคับทุกวันเว้นวันอาทิตย์ รวมทั้งหมด 6 อาทิตย์ เท่ากับ 36 วัน ยังขาดอีก 4 วัน ในศตวรรษที่ 7 จึงมีกฎให้เริ่มจำศีลตั้งแต่วันพุธรับเถ้า แถมเข้าไปอีก 4 วัน เพื่อให้ครบกำหนด 40 วันพอดี
  • การจำศีลในระยะแรกๆ เคร่งครัดมาก รับประทานอาหารได้เพียงมื้อเดียวตอนเย็น ห้ามเนื้อ ปลา ไข่ นม แม้วันอาทิตย์ก็ห้ามรับประทานเนื้อ ต่อมาในศตวรรษที่ 9 ได้มีการผ่อนผันลง อนุญาตให้รับประทานตอนเที่ยง แทนตอนเย็นได้ ต่อมาในศตวรรษที่ 13 อนุญาตให้รับประทานอาหารเบาๆ ตอนเย็นได้ และอณุญาตให้รับประทานปลา และนมได้ ที่สุด สมเด็จพระสันตะปาปา ปอล ที่ 6 ทรงประกาศพระรัฐธรรมนูญ Poenitemini ให้อดเนื้อเฉพาะวันพุธรับเถ้า และทุกวันศุกร์ในเทศกาลมหาพรต ส่วนการจำศีลอดอาหาร บังคับเฉพาะวันพุธรับเถ้ากับวันศุกร์ศักสิทธิ์ เท่านั้น

Go Top
Back to Easter



Ad Majorem Dei Gloriam /Catholic Home Page For the Highest Glory of God

ปัสกา (Easter)
(คอลัมน์ "เปิดซองคำถาม" โดยบอระเพ็ด เจ็ดย่านน้ำ จากวารสารอุดมศานต์)
  • คำ Easter เป็นศัพท์แองโกล-แซ็กซอน หมายถึง เทพเจ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิ ( Anglo-Saxon Easter ,a goddess of sping ) แต่คำ "ปัสกา" มาจากภาษาฮิบรู Pesach หมายถึงการผ่านของทูตสวรรค์ ในคืนที่อิสราแอลพ้นจากการเป็นทาส ในแผ่นดินอียิปต์ (อพย. 12.11) ฉลองปาสกาของชาวคริสต์จึงหมายถึง การฉลองการผ่านจากความทุกข์สู่ความยินดี อาศัยการสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนชีพของพระคริสเจ้า หรือความหมายทางเทววิทยา ปัสกาคือ ฉลองการข้ามพ้นบาปนั่นเอง
  • นับตั่งแต่เริ่มแรกพระศาสนจักร ถือว่าการกอบกู้มนุษยชาติของพระเยซูคริสต์ ประกอบด้วยมหาทรมานและการกลับคืนชีพ ดังนั้น ฉลองปาสกา จึงต้องประกอบด้วยพิธีกรรม 2 ภาคดังกล่าว เริ่มด้วยพิธีกรรมวันศุกร์ศักสิทธิ์ และจบด้วยพิธีกรรมวันอาทิตย์ปัสกา พึงสังเกตว่า พิธีระลึกการตั้งศีลมหาสนิท และการล้างเท้าอัครสาวกในวันพฤหัสศักสิทธิ์นั้น เพิ่งจะมีในภายหลัง ราวศตวรรษที่ 2-8 คริสตชนรุ่นแรกๆ ได้เน้นการเตรียมฉลองปาสกาอย่างมาก ในศตวรรษที่ 2 เอง มีทางเชื่อได้ว่า มีการจำศีลอดอาหารตลอดอาทิตย์ศักสิทธิ์ทีเดียว ในสมัยกลาง มีธรรมเนียมไปดูพระคูหาศักสิทธิ์ ต่อมามีการนมัสการพระกายของพระคริสต์ ที่ประทับในพระคูหา ซึ่งกลายเป็นธรรมเนียมนมัสการกางเขนในวันศุกร์ศักสิทธิ์
  • เกี่ยวกับวันปาสกา ที่มีปัญหาไม่ตรงกันซักปี มีความเป็นมาดังนี้ พระศาสนจักรตะวันออกยึดเอาวันที่ 14 เดือนนิซานของชาวยิว ( ประมาณกลางเดือน มีนาคม - เมษายน ) ซึ่งถือว่าเป็นวันสิ้นพระชนม์ ในวันที่ลูกแกะปัสกาถูกฆ่าบูชายัญในพระวิหาร เป็นวันปาสกา ตามข้อเขียนของนักบุญเปาโล " พระคริสต์องค์ของเราได้ถูกฆ่าบูชายัญ " ( 1 คร.5.7 ) แต่พระศาสนจักรตะวันตก เป็นต้นที่โรม ถือตามธรรมเนียมซึ่งฉลองปาสกาวันอาทิตย์เสมอ จึงถือเอาวันอาทิตย์หลังวันที่ 14 เดือนนิซาน เนื่องจากปฏิทินยิวถือตามจันทรคติ วันฉลองปัสกาจงไม่คงที่

Go Top
Back to Easter



Ad Majorem Dei Gloriam /Catholic Home Page For the Highest Glory of God

ปัสกาของพระคริสต์
( บทความ จากวารสารอุดมศานต์ )
  • ถ้าหากจะถามว่า เทศกาลอะไรที่สำคัญที่สุคในศาสนาคริสต์ หลายท่านก็คงตอบทันทีว่า "เทศกาลคริสต์มาส" เพราะเห็นว่ามีงานเฉลิมฉลองกันซะใหญ่โตแทบทุกปี และกลายเป็นประเพณีสากลไปแล้ว แต่ความจริงแล้ว เทศกาลที่สำคัญที่สุดในศาสนาคริสต์ก็คือ "เทศกาลปัสกา" หรือ "เทศกาลอีสเตอร์" ต่างหาก
  • ทำไมถึงว่าเทศกาลนี้สำคัญที่สุด เหตุผลก็เพราะว่า เทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่เราชาวคริสต์ได้ร่วมกันเฉลิมฉลอง การคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้า หลังจากที่พระองค์ถูกทรมาน และสิ้นพระชนม์บนกางเขนแล้ว เป็นเหตุการณ์ที่แสดงว่า พระเยซูเจ้าของเราเป็นพระเป็นเจ้าเที่ยงแท้ ที่สามารถชนะบาปและความตายได้ เป็นการก้าวพ้นจากความชั่ว ความทุกข์มาสู่ความดีและความสุข พูดง่ายๆ ก็คือ การตายและการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้านั้น ทำให้เราหลุดพ้นจากบาป ความชั่ว ความตาย และมีชีวิตใหม่พร้อมกับพระองค์ สิ่งเหล่านี้เราถือว่าเป็นมรดกแห่งความเชื่อของคริสตชนเลยทีเดียว
  • อันที่จริง ถ้าหากเราจะสืบสาวราวเรื่องลงไป ถึงต้นตอจริงๆ ของคำว่า "ปัสกา" นั้นก็จะเห็นว่า "ปัสกา" (Pasqual) เป็นคำมาจากภาษาฮิบรู แปลว่า "การข้าม หรือการก้าวกระโดดผ่านไป" เป็นวันที่ชาวยิวฉลองการกินขนมปังไร้เชื้อ โดยจะฉลองกันในวันที่ 14 ของเดือนนิชาน (Nisan) ก็ราวๆ เดือนมีนาคมหรือเดือนเมษายน ทั้งนี้เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่ พระเป็นเจ้าทรงช่วยเหลือบรรพบุรุษของพวกเขา ให้ออกมาจากการเป็นทาสของชาวอียิปต์ เมื่อหลายพันปีก่อน
  • เรื่องราวเกี่ยวกับปาสกาของชาวยิวนี้ เราจะพบได้ในหนังสืออพยพ บทที่ 12 ในพระธรรมเก่า ซึ่งจะกล่าวถึงเรื่องการที่พระยาเวย์ ได้ช่วยเหลือชาวอิสราเอล ให้พ้นจากความตาย และเป็นอิสระจากการเป็นทาสของชาวอียิปต์ โดยการนำเลือดแกะมาทาไว้ที่วงกบประตูบ้าน และช่วยพวกเขาข้ามทะเลแดง ส่วนวันปัสกาของชาวคริสต์ โดยเฉพาะนิกายโรมันคาทอลิกของเรานั้น ถึงแม้ว่าจะมีรากฐานมาจากชาวยิวนี้ก็ตาม แต่ว่าปัสกาของชาวคริสต์นั้น ไม่ได้เป็นการฉลองการกินขนมปังไร้เชื้อเหมือนชาวยิว หากแต่เป็นการฉลองเหตุการณ์ที่พระคริสตเจ้า ทรงไถ่บาปของมนุษยชาติโดยการยอมรับทรมาน สิ้นพระชนม์ และเสด็จกลับคืนชีพ โดยมีเครื่องหมายผ่านจากความตาย และกลับคืนชีพเป็นสัญลักษณ์ เป็นการ "ข้ามพ้น" จากความทุกข์ มาสู่ความยินดี จากบาปและความตายมาสู่ชีวิตใหม่
  • เรื่องราวและเหตุการณ์เกี่ยวกับปัสกาในพระธรรมใหม่ หรือเรื่องราวการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้านี้ เราสามารถที่จะพบได้ในพบได้ในพระคัมภีร์ ทั้งในบันทึกของ มัทธิว บทที่ 28, มาระโก บทที่16, ลูกา บทที่ 24, และยอห์น บทที่ 20 พูดง่ายๆ ว่า เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมาก จนผู้นิพนธ์พระวรสารทั้ง 4 ต้องบันทึกไว้อย่างละเอียดทุกๆ คน
  • พยานที่ยืนยันการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าได้ ก็คือ มารีอา ชาวมักดาลา เราจะเห็นได้ว่านางไปที่หลุมศพ พบว่าคูหาว่างเปล่า แต่ที่สุดเธอก็ได้พบกับพระเป็นเจ้า จึงได้กลับไปเล่าเรื่องที่เห็น ให้พวกสาวกของพระเยซูเจ้าฟัง และหลังจากนั้นในตอนบ่าย ศิษย์สองคน ซึ่งกำลังเดินทางไปหา เอมมมาอุส ก็ยังได้พบพระเยซูเจ้าด้วย
  • นอกจากนั้น เมื่อครั้งพระเยซูเจ้าแสดงองค์ครั้งแรกแก่บรรดาอัครสาวก ที่ห้องชั้นบนที่แคว้นกาลิลีนั้น โทมัสไม่ได้ร่วมอยู่ด้วย เมื่ออัครสาวกคนอื่นๆ บอกเรื่องการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า โทมัสกลับไม่เชื่อ และกล่าวว่าจะไม่เชื่อ จนกว่าจะได้เอานิ้วแยงรอยแผลที่พระหัตถ์ และสีข้างของพระเยซูเจ้าก่อน จนกระทั่งพระเยซูเจ้าประจักษ์เเป็นครั้งที่สอง และโทมัสอยู่ด้วย และเห็นกับตา เขาจึงยอมเชื่อ เรื่องการกลับคืนชีพของพระเป็นเจ้า หลังจากนั้น สาวกทุกคนก็ได้เปลี่ยนพฤติกรรมจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากคนที่เคยอ่อนแอก็เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ เพื่อจะเทศน์สอนเรื่องพระเยซูกลับเป็นขึ้นมา อย่างไม่เกรงกลังภยันตรายใดๆ ทั้งสิ้น จนกระทั่งตัวตายพวกเขาก็ยอม
  • จริงๆ แล้ว การกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้านั้น มีความสำคัญและมีความหมายสำหรับเราคริสตชนมาก เพราะนี่แสดงว่าพระเยซูเจ้านั้น เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ แสดงว่าบาปของเราถูกขจัดออกไป และได้รับการอภัย แสดงว่าเราเป็นบุตรบุญธรรมของพระเป็นเจ้า เป็นพี่น้องกัน และสุดท้ายเราก็กลับเป็นขึ้นมาจากความตาย และมีชีวิตนิรันดรกับพระองค์
  • ส่วนเรื่องเกี่ยวกับประเพณี หรือสัญลักษณ์สำหรับวันปาสกา เช่น ไข่ และไก่งวง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีนั้น ก็มีเรื่องราวความเป็นมาว่าดังนี้
  • ไข่ ในสมัยก่อนนั้น คนโบราณจะรู้สึกดีใจและมีความสุขมาก เมื่อถึงการกลับมาของฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง ชาวอียิปต์โบราณและชาวเปอร์เซีย เขาจะทำการฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ ด้วยการกินไข่ เพราะว่าไข่เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดมา และการมีชีวิตใหม่ (ปีใหม่) และก็บังเอิญว่า เทศกาลอีสเตอร์ มาตรงกับช่วงฤดูใบไม้ผลิพอดี คริสตชนจึงได้นำประเพณีโบราณนี้ มาประยุกต์เอาว่า ไข่นั้นเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ เป็นชีวิตเต็มไปด้วยความชื่นบาน และความดี
  • นอกจากนี้ ยังมีเกร็ดอีกว่า ในพระศาสนจักรเริ่มแรกนั้น ไข่ได้เคยห้ามรับประทานเป็นอาหาร ระหว่างเทศกาลมหาพรต แต่เมื่อจบเทศกาลมหาพรตแล้ว คริสตชนก็ต่างดีใจ ที่จะได้กินไข่อีกครั้งหนึ่ง และตั้งแต่นั้นมา ก็เป็นประเพณีกินไข่อีสเตอร์ และแจกไข่ในเวลาต่อมา
  • ถ้าหากว่าเรามีโอกาสไปร่วมฉลองวันปาสกา หรืออีสเตอร์ตามโบสถ์ใหญ่ๆ เราจะเห็นว่าในวันนี้ พวกเขาจะนำไข่ไปย้อมสีต่างๆ หรือวาดรูปและเขียนคำอวยพรต่างๆ นำไปซ่อนไว้ตามพุ่มไม้หรือกอหญ้า เพื่อให้ผู้ไปร่วมฉลอง ได้มีโอกาสค้นหาไข่ปาสกาหรือไข่อีสเตอร์กัน ไม่ว่าเด็ก คนหนุ่มสาว หรือแม้แต่คนเฒ่าแก่ พวกเขาจะค้นหาไข่ปาสกาด้วยความสนุกสนาน และมีความสุขที่สุด เพราะวันปาสกา ก็เป็นวันแห่งความสุขวันหนึ่งสำหรับทุกๆ คนนั่นเอง

Go Top
Back to Easter



Ad Majorem Dei Gloriam /Catholic Home Page For the Highest Glory of God

ปาสกา ความหมายของชีวิตใหม่
(บทความ โดย คุณพ่อเปโตร อูร์บานี จากวารสารอุดมสาร)
  • "ปาสกา คือการที่พระเป็นเจ้าเสด็จผ่าน และพระองค์ทำลายศัตรูของพระองค์ และนำความรอดมาสู่มนุษยชาติ"
  • ( อพย.12 ) เมื่อพระเป็นเจ้าตรัสสั่งกับโมเสสและอาโรนว่า "ให้เดือนนี้เป็นเดือนเริ่มต้น สำหรับเจ้าทั้งหลาย ให้เป็นเดือนแรกในปีใหม่สำหรับพวกเจ้า ให้เตรียมลูกแกะไว้ครอบครัวละตัว ลูกแกะนั้นต้องปราศจากตำหนิ แล้วในเย็นวันนั้น ให้ที่ประชุมของอิสราเอลทั้งหมด ฆ่าลูกแกะของเขา แล้วเอาเลือดทาที่วงกบประตูทั้งสองข้าง ในคืนนั้น ให้เขากินขนมปังไร้เชื้อ และผักรสขม เจ้าทั้งหลายจงกินเลี้ยงดังนี้ คือให้คาดเอว สวมรองเท้า ถือไม้เท้าไว้ และรีบกินโดยเร็ว การเลี้ยงนี้คือปัสกาของพระเป็นเจ้า เพราะในคืนวันนั้นเอง เราจะผ่านไปในประเทศอียิปต์ และจะประหารบุตรหัวปีของมนุษย์และสัตย์ วันนี้จะเป็นวันระลึกสำหรับเจ้า ให้เจ้าทั้งหลายจงฉลองเทศกาลนี้ และถือเป็นกฎถาวร"
  • "ปาสกา คือการที่พระเป็นเจ้าเสด็จผ่าน และพระองค์ทำลายศัตรูของพระองค์ และนำความรอดมาสู่มนุษยชาติ"
  • "ปาสกาครั้งแรกของพระเป็นเจ้าเกิดขึ้นในสมัยโมเสส ครั้งนั้นชาวอิสราเอลถวายลูกแกะปัสกา และอพยพออกจากประเทศอียิปต์ ในคืนที่พระเป็นเจ้าเสด็จผ่านประเทศอียิปต์ บุตรหัวปีของของชนอียิปต์ถูกทำลาย และประชากรของพระเป็นเจ้าได้รับอิสรภาพ การข้ามทะเลแดงหมายถึงความรอดเช่นกัน คือคนที่เข้าไปในทะเลแดง มีทั้งประชากรของพระคือชาวอิสราเอล และศัตรูของกษัตริย์ฟาโร แต่คนที่เป็นประชากรของพระได้รับความรอด และเป็นอิสระ ส่วนคนที่เป็นศัตรูของพระเป็นเจ้าจมน้ำตาย"
  • "ปัสกาครั้งที่สอง คือสมัยของพระเยซูเจ้า ที่พระเป็นเจ้าเผยความหมายที่แท้จริง ให้ปรากฏชัด นั่นคือ การที่พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านจากโลกนี้ ไปถึงพระเป็นเจ้าพระบิดา และการเสด็จผ่านจากโลกนี้ พระองค์ได้นำศัตรูเข้าไปด้วย ศัตรูของพระองค์ไม่ใช่ชาวอิสราเอล ที่จับพระองค์ตรึงกางเขน ไม่ใช่ชาวอียิปต์ในสมัยโมเสส แต่ศัตรูของพระเป็นเจ้าคือ บาป ปีศาจ และความตาย"
  • "การเสด็จผ่านจากโลกของพระเยซูเจ้า ขณะที่เสด็จผ่าน พระองค์ได้นำศัตรูของพระองค์ไปด้วย คือ ในธรรมชาติของมนุษย์ ที่มีความเจ็บไข้ ความตายบนไม้กางเขน นั่นคือ พระองค์สิ้นพระชนม์ จึงดูเหมือนความตายชนะพระองค์ แต่ความเป็นจริงแล้ว พระองค์กลับคืนชีพในเช้าตรู่วันปาสกา กลับมีชัยชนะเหนือความตาย"
  • "ในฐานะที่พระเยซูเจ้าเป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคน เมื่อพระองค์เสด็จมา และทำลายศัตรูของพระเจ้า คือความตาย ดังนั้น อาศัยพระเยซูเจ้า เราจึงสามารถเข้าไปในปัสกาของพระเจ้า โดยไม่ต้องผ่านทางเครื่องถวายบูชาใดๆ อีก แต่การมีส่วนร่วมนี้ เราต้อง เชื่อ ไว้ใจ และมอบตัวไว้กับพระเป็นเจ้า แล้วต่อสู้กับบาป เราจึงจะมีชัยชนะ"
  • "คืนปัสกาจึงเป็นคืนแห่งชีวิตใหม่ เพราะพระเยซูเจ้าได้นำชีวิตใหม่ คืนกลับมาให้เราอีกครั้ง หลังจากมนุษย์ทำบาปไปแล้ว ดังนั้นจากความหมายของปาสกาเดิม คือ ฉลองอิสรภาพที่ได้รับมา ที่หนีจากการตามล่าของกษัตริย์ฟาโร อาศัยพระเป็นเจ้า ส่วนปาสกาใหม่ คือการฉลองอิสรภาพจากบาป ที่ได้รับอาศัยพระเยซูเจ้า"
  • นี่คือความหมายที่แท้จริงของปัสกา
  • ส่วนพิธีกรรมและบทอ่าน ที่พระศาสนจักรกำหนดขึ้นนั้น ได้แก่ พิธีตื่นเฝ้าปัสกา พิธีเสกไฟ ยังที่ชุมชนสัตบุรุษนอกวัด พระสงฆ์ ประธานในพิธี จุดเทียน ปัสกาจากไฟที่เพิ่งเสก และขีดบนเทียนปัสกา ที่มีตัวอักษร อัลฟา โอเมกา และพิธีเสกน้ำ เพื่อใช้ในศีลล้างบาป ในคืนนี้เองจะมีพิธีโปรดศีลล้างบาปอย่างสง่า แก่ผู้ใหญ่ที่เตรียมตัวอย่างดีมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
  • ในคืนวันเสาร์ศักสิทธิ์ พระศาสนจักรในสมัยแรกๆ จะทำการฉลองปาสกาตลอดคืน จนถึงรุ่งเช้า ด้วยการอ่านบทอ่าน เทศน์สลับกับการร้องเพลง มีบทอ่านตั้งแต่ปฐมกาล เล่าถึงการสร้างโลก กล่าวถึงอับราฮัมถวายอิสอัคบุตรชายแก่พระเจ้า กล่าวถึงชาวอิสราเอลข้ามทะเลแดง ที่พระศาสนจักรห้ามไม่ให้เว้นบทอ่านบทนี้ เพราะนี่เป็นการกล่าวถึง ประวัติความรอดของมนุษยชาติ มาตามลำดับ แต่ปัจจุบันนี้มีการลดบทอ่านไปหลายบท
  • พิธีตื่นเฝ้าปัสกา ต้องเป็นเวลากลางคืน แต่มีระยะหนึ่งต้องทำการฉลองในตอนเช้าวันเสาร์ ต่อมาพระสันตปาปาปีโอที่ 12 ได้ปฏิรูปพิธีกรรมใหม่ ให้กลับมาทำพิธีฉลองตอนกลางคืนดังเดิม
  • หลังวันปาสกา ที่พระศาสนจักรเรียกว่า อัฐมวารปัสกา หรือที่เรียกว่าสัปดาห์อาภรณ์ขาว พระสงฆ์จะสวมอาภรณ์สีขาวหนึ่งอาทิตย์ เดิมนั้นคริสตชนในยุคแรก มีอบรมผู้ใหญ่ที่ได้รับศีลล้างบาป ในคืนปัสกาแล้วต่อไปอีกหนึ่งอาทิตย์ และให้คริสตังใหม่สวมชุดขาวตลอดหนึ่งอาทิตย์ด้วย ปัจจุบันประเภณีนี้เลิกใช้ไปแล้ว
  • หนังสือกิจการอัครสาวกบทที่ 2 เล่าว่า ชาวยิวมีประเพณีชุมนุมกันในวันฉลองวันกู้ชาติ (ปาสกาเดิม) ไปอีก 50 วันเพื่อขอบคุณพระเป็นเจ้า หลังจากสิ้นสุดการเก็บเกี่ยว และทำพิธีถวายรวงใหม่แด่พระเป็นเจ้า ซึ่งบรรดาอัครสาวก ก็ได้ชุมนุมกันในโอกาสนี้ด้วย และการชุมนุมนี้ นับเป็นวันที่ 50 หลังการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า วันเดียวกันนี้เอง ที่พระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนืออัครสาวก ในรูปลิ้นไฟ ที่กำลังชุมนุมกันอยู่ในห้องปิดประตูลั่นดาน
  • คำว่า เปนเตกอสเต(Pentecoste) เป็นคำภาษากรีกแปลว่า 50 วัน เกิดขึ้นในยุคพระศาสนจักรอันเป็นวันที่ 50 ของปัสกาใหม่ วันนี้จึงเป็นวันเกิดของพระศาสนจักร ประชากรใหม่ของพระเป็นเจ้า หลังจากที่อัครสาวกได้รับพระจิตเจ้า ก็แยกย้ายกันออกไปประกาศข่าวดีทั่วโลก คือ การกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า นำมนุษย์กลับคืนดีกับพระเป็นเจ้า นำความหวังและความรอดให้มนุษยชาติ
  • ข่าวดีนี้แพร่ออกไปจนสุดปลายพิภพ ถึงปัจจุบันนี้จวนจะครบปีที่ 2000 แล้วก็ตาม แต่งานเลี้ยงครั้งสุดท้าย พระมหาทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นปัสกาถวายแด่พระเป็นเจ้า ยังคงถูกรื้อฟื้นทำขึ้นอยู่ทุกวัน โดยบูชามิสซา ที่พระสงฆ์ถวายอยู่ทุกนาที ณ ทั่วทุกมุมโลก เป็นงานเลี้ยงศักสิทธิ์ ที่เลี้ยงดูประชากรใหม่ของพระเป็นเจ้า ไปจนกว่าเขาจะเข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญาที่แท้จริง ที่ไม่ใช่ดินแดนคานาอัน ที่สัญญาไว้กันอับราฮัม ที่เป็นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ แต่เป็นสวรรค์ที่ประทับของพระบิดาเจ้า

Go Top
Back to Easter



Ad Majorem Dei Gloriam /Catholic Home Page For the Highest Glory of God

พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพ
(คำสอน 5 นาที โดยศูนย์คำสอนสังฆมณฑลกรุงเทพฯ จากวารสารอุดมสาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 16)

การกลับคืนชีพของพระเยซูคริสตเจ้า เป็นความจริงที่ชาวคริสต์เชื่อ และชื่นชมยินดี ที่เชื่อนั้นก็เพราะ เป็นสิ่งที่อัครสาวกของพระองค์ ได้ประสบพบเห็นมาก่อน อย่างน้อยก็มีเหตุการณ์ 2 ประการ ที่ทำให้พวกเขากล้าประกาศยืนยันว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพ คือ

1. การประจักษ์ของพระองค์

พระเยซูเจ้าได้ปรากฏมาหาบรรดาสาวกของพระองค์ ที่ห้องซึ่งพวกเขามาชุมนุมกันถึงสองครั้ง และสนทนากับพวกเขาด้วย (ยน.20:19-29; ลก.24:37-42) สาวกบางคนไม่อยู่ในเวลาที่ พระองค์ประจักษ์ครั้งแรก ก็สงสัยและท้าทาย คือโทมัส จนเมื่อพระองค์ประจักษ์อีกครั้ง จึงยอมรับว่า "พระอาจารย์เจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า" (ยน.20:28)
สาวกที่กำลังเดินทางกลับเมืองเอมมาอูสก็เช่นกัน ...หมดหวัง ... แต่พระเยซูเจ้าได้ปรากฏมาสนทนากับเขาระหว่างทาง ...จนพวกเขารู้สึกเร่าร้อนภายใน และจำพระองค์ได้ตอนที่ทรงหักปัง ...จึงรีบกลับไปหาสาวกทั้งสิบเอ็ด ที่กรุงเยรูซาเล็มในคืนนั้นทันที เพื่อเล่าเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ทราบ (ลก:24:13-35)

พระเยซูเจ้าได้ปรากฏแก่ มารีอาชาวเมืองมักดาลา ในเวลาเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ ที่อุโมงฝังศพของพระองค์ นางเองคิดว่าพระองค์เป็นคนทำสวน จนเมื่อพระองค์ได้ทักนางก่อน นางจึงจำพระองค์ได้ และเล่าเรื่องนี้ให้สาวกฟัง (มธ.16:19-11, ยน.20:11-18)

เพราะการประจักษ์ของพระเยซูเจ้า บรรดาสาวกจึงไม่ลังเล ที่จะประกาศเรื่องการกลับคืนชีพของพระองค์ แก่ประชาชนในสมัยของท่าน ชาวคริสต์สมัยต่อๆ มา ซึ่งได้เชื่อ ก็ประกาศยืนยันสืบเนื่องกันมาเรื่อย จนถึงสมัยปัจจุบัน

2. คูหาว่างเปล่า

หลังจากที่พวกทหารโรมันเห็นว่า พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว และตามธรรมเนียมของชาวยิว ไม่อนุญาตให้ศพค้างบนกางเขนในวันพระ จึงอนุญาตให้โยเซฟชาวเมืองอาริมาเธีย นำพระศพไปฝังที่อุโมงแห่งหนึ่ง (ยน.19:38-42) และเอาก้อนหินใหญ่ปิดปากอุโมงไว้ (มก.15:47) หัวหน้าสมณะและพวกฟาริสี ได้ขอให้มียามเฝ้าอุโมงไว้ เพราะจำได้ว่า พระเยซูเจ้าเคยตรัสไว้ว่า "หลังจากตายแล้วสามวัน เราจะกลับเป็นขึ้นมาจากตาย" จึงกลัวพวกสาวกของพระองค์ ไปขโมยศพ และโกหกประชาชนว่า พระองค์กลับคืนชีพ (มธ.27:62-66)

เช้าตรู่วันอาทิตย์ มารีอาชาวมักดาลาได้ไปที่อุโมง เพื่อจะไปเยี่ยมพระศพ แต่กลับพบหินปิดอุโมงเคลื่อนออก คูหาว่างเปล่าไม่มีพระศพ เหลือแต่ผ้าป่าน ที่ใช้พันพระศพวางทิ้งไว้อยู่ที่นั่น ...จึงรีบไปตามเปโตร และยอห์นศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรัก พวกเขารีบมาที่อุโมง พบคูหาว่างเปล่า เขาได้เห็นและเชื่อ (ยน.20:1-10)

ยามที่เฝ้าอุโมง ได้ไปรายงานเรื่องนี้ให้หัวหน้าสมณะ ที่จ้างตนทราบ หัวหน้าสมณะได้ให้เงินแก่ยาม และให้บอกว่าพวกสาวกพระเยซูเจ้า มาขโมยพระศพไป (มธ.28:11-15)

คูหาอันว่างเปล่า และผ้าพันศพนี้จึงหมายถึง ร่างกายของพระเยซูเจ้า ได้พ้นพันธะของความตาย และความเสื่อมสลาย โดยพระฤทธานุภาพทั้งสองสิ่ง ช่วยให้บรรดาสาวก ได้พบปะกับพระคริสผู้ทรงกลับคืนชีพ

ความเชื่อในเรื่องการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า เป็นแก่นสำคัญที่สุดของศาสนาคริสต์ เป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ที่บรรดาสาวกได้พบกับพระคริสต์ ผู้ทรงกลับคืนชีพจริงๆ เป็นเหตุการณ์ธรรมชาติ ที่ช่วยให้เราเข้าใจชีวิตมนุษย์ดีขึ้น คือ เราจะมีส่วนในการกลับคืนชีพ มีชีวิตใหม่เช่นเดียวกัน และประสบการณ์ของบรรดาสาวกในวันปาสกานั้น ก็เป็นประสบการณ์ของบรรดาชาวคริสต์ในสมัยต่อมา คือ พระองค์ได้เผยพระองค์แก่ศิษย์ ที่รวมกันในพิธีบูชามิสซา เพราะเรารู้จักพระองค์ทางพระคัมภีร์ ทางการอภัยบาป และการหักปัง (ลก.24:30-33)


Go Top
Back to Resurrection



Ad Majorem Dei Gloriam /Catholic Home Page For the Highest Glory of God

การกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า
(โดย คุณพ่อไพบูลย์ อุดมเดช C.Ss.R. จากวารสารอุดมศานต์)
ในบรรดางานฉลองที่สำคัญของคริสตศาสนานั้น วันปาสกาเป็นวันที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นวันที่ระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญ สำหรับความรอดของวิญญาณมนุษย์ ในแง่ปฎิบัติ วันฉลองนี้อาจจะด้อยกว่าวันคริสตสมภพบ้าง แต่พระศาสนจักรก็ยังถือว่า เป็นวันสำคัญที่สุดอยู่เสมอ อาจเป็นไปได้ว่า วันนี้อยู่ในช่วงที่ไม่ค่อยมีบรรยากาศเท่าที่ควร เช่น ในเมืองไทยตรงกับฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่บรรยากาศไม่ชวนให้มีสมาธิเท่าไร อย่างไรก็ตาม เราจะมาดูกันซิว่า วันปัสกาซึ่ง ระลึกถึงการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้านั้น สำคัญเพียงใด พระศาสนจักรจึงถือว่าเป็นวันฉลองที่สำคัญที่สุด

นัยของการกลับคืนชีพ (THE SIGNIFICANCE OF THE RESURRECTION)

การกลับคืนชีพของพระคริสตเจ้า เป็นหัวใจของหลักธรรมและคำสอนทั้งหมด ของพระศาสนจักร บรรดาอัครสาวก เมื่อได้รับพระจิตในวันพระจิตาคมแล้ว ต่างก็เต็มไปด้วยความร้อนรน ในการประกาศข่าวดี เนื้อหาที่พวกเขาประกาศก็คือ เรี่องการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า จากเหตุการณ์การกลับคืนชีพ บรรดาอัครสาวกและผู้เชื่อในสมัยนั้น นำมาใคร่ครวญ จนได้พบความจริง และความสมเหตุสมผลในเหตุการณ์ หรือเรื่องราวต่างๆ ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ เพราะเหตุนี้เอง พวกเขาจึงมีกำลังใจ ประกาศเรื่องราวดังกล่าว แก่ทุกคนอย่างไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลหรืออำนาจใดๆ ของผู้นำยูดายในสมัยนั้นเลย จากการพิจารณารำพึงของบรรดาอัครสาวก พวกเขาเห็นความจริงเรื่องอะไรบ้าง? นี่คือคำถามที่เราพยายามหาคำตอบ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพจริงหรือ?

คำถามนี้มิใช่เพิ่งมีในสมัยของเรา เมื่อบรรดาศิษย์ของพระองค์ ออกประกาศต่อหน้าบรรดาผู้นำศาสนา ของชาวยิวทั่วไปในหมู่ชาวยิว และชาวต่างประเทศ ที่อยู่ในดินแดนนั้น เพราะเรื่องนี้ไม่เคยปรากฏเลย ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ คนส่วนมากถือเป็นเรี่องขบขัน เมื่อเห็นบรรดาศิษย์ของพระเยซู เที่ยวป่าวประกาศว่า พระอาจารย์ของตนฟื้นมาจากความตาย ฝ่ายศิษย์ของพระเยซู ก็มิได้ย่อท้อต่ออุปสรรค ยังคงยืนยันสิ่งที่เขาบอกว่าได้เห็นอย่างมั่นคง เราเองก็คงไม่สามารถหาหลักฐานใดมาพิสูจน์ว่า สิ่งที่เขาบอกว่าได้เห็นได้อย่างมั่นคง ไม่สามารถพิสูจน์ว่า สิ่งที่บรรดาศิษย์ประกาศนั้น เป็นความเท็จ ถ้าจะสังเกตพฤติกรรมของบรรดาศิษย์ ก็จะเชื่อได้ว่าเรื่องที่พวกเขาเหล่านั้นเป็นความจริงเพราะ
  1. ท่าทีและความมั่นใจในการประกาศ เรื่องการกลับคืนชีพของพวกเขานั้น น่าเชื่อถือมาก เพราะทั้งๆ ที่พวกเขารู้ว่า สิ่งที่พูดนั้นจะเป็นอันตราย แต่พวกเขาก็ไม่กลัว แสดงให้เห็นว่า ถ้าเรื่องที่พวกเขาพูดนั้นไม่จริง คงไม่มีใครกล้าพอจะเสื่ยงชีวิต กับเรื่องเหลวไหลเป็นแน่
  2. เมื่อสังเกตแรงต่อต้านจากหัวหน้าชาวยิว ที่กล่าวว่า ศิษย์ของพระองค์มาขโมยศพไป ชาวยิวส่วนมากไม่เชื่อ และเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ จึงมิได้คล้อยตามข้ออ้างดังกล่าวนั้น ก็แสดงว่าชาวยิวทั่วไปถือว่า สิ่งที่บรรดาศิษย์พูดนั้นเป็นเรื่องจริง
  3. กริยาของชาวยิวส่วนมาก แสดงออกถึงความเชื่อถือในคำพูดของบรรดาศิษย์ มีคนกลับใจมาเชื่อถือพระองค์เป็นจำนวนมาก เรื่องการกลับคืนชีพจึงน่าจะเป็นเรื่องจริง
  4. ความก้าวหน้าของพระศาสนจักร ยังเป็นการรับรองความจริง ของการกลับคืนชีพได้อีกประการหนึ่ง พระศาสนจักรรับรองความจริงของการกลับคืนชีพได้ เพราะพระศาสนจักรต้องผจญกับอุปสรรค และการต่อต้านมากมาย เสียเลือดเสียเนื้อผู้เชื่อเป็นจำนวนมาก แต่พระศาสนจักรก็ยังเจริญมาถึงปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้เป็นพยานยืนยันได้ ถึงความเป็นพระของพระเยซูเจ้า และยืนยันได้ว่า พระองค์ได้ทรงกลับคืนชีพจากความตายจริง

ความพยายามที่จะอธิบายเรื่องการกลับคืนชีพ

เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ตามธรรมดาของมนุษย์ก็ย่อมพยายามหาคำตอบให้ได้ ในเรื่องการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้านี้ มีผู้แสดงทรรศนะต่างๆ ดังนี้
  1. ทฤษฎี"สลบ" ชื่อของทฤษฎีนี้ค่อนข้างจะน่าขันอยู่ไม่น้อย แต่ข้ออ้างก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน ผู้เสนอความคิดนี้ให้เหตุผลว่า
    พระเยซูเจ้าไม่ได้สิ้นพระชนม์จริง พระองค์ทรงถูกทรมานมาก จนถึงขั้นโคม่า เลยสลบไปชั่วคราว เหมือนกับทรงสิ้นพระชนม์ คนทั่วไปคิดว่า พระองค์สิ้นพระชนม์ จึงนำไปฝังในถ้ำ เมื่อพระองค์ฟื้นขึ้นมา ก็ออกจากถ้ำไปซ่อนตัว พอศิษย์มาดูไม่เห็นพระศพ ก็คิดว่าพระองค์ทรงกลับคืนชีพจริง
  2. ทฤษฎีที่ว่า สิ่งที่บรรดาศิษย์เห็นนั้น เป็นภาพลวงตาหรือภาพหลอน เนื่องจากความผิดปกติทางระบบประสาท ที่ต้องพบกับเหตุการณ์ระทึกใจ อันไม่คาดคิดเท่านั้น ภาพนั้นไม่ใช่พระเยซูจริง
  3. ทฤษฎีที่ว่า เพราะความอยากของจิต จึงคิดไปเองว่าตัวเองเห็นพระอาจารย์ปรากฏมา
  4. ทฤษฎีที่ว่า ศิษย์ต้องการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน จึงได้กุเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อไม่ให้ท้อถอยกับอุปสรรค และทำให้เชื่อมั่นในคำสอนที่ได้รับยิ่งขึ้น
  5. ทฤษฎีที่ว่า ศิษย์ของพระองค์อ้างเรื่องนิยายเท่านั้น เป็นการเล่านิยาย เพื่ออธิบายความหมายของคำสอน และการกลับคืนชีพ ที่มีในพระคัมภีร์ เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องจริง

ความหมายของพระศาสนจักร ( THE CHURCH'S TEACHING )

พระศาสนจักรไม่สนับสนุนให้ใช้ความคิดในเรื่องนี้ โดยขาดความสุขุม โดยสอนว่าเรื่องการกลับคืนชีพนั้น เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ เกินความเข้าใจด้วยปัญญามนุษย์ การพยายามเรื่องนี้ โดยอาศัยประสบการณ์และเหตุผลอย่างเดียวนั้น อาจผิดพลาดได้ง่าย (1คร.15:35-44) กระนั้นก็ตาม พระศาสนจักรก็ยังยึดคำสอนจากพระคัมภีร์ เป็นหลักในเรื่องดังกล่าว คือ
  1. ร่างกายที่กลับคืนชีพนั้น เป็นร่างกายเดียวกับที่สิ้นพระชนม์บนกางเขน และฝังไว้ในคูหา
  2. พระเยซูทรงกลับคืนชีพจริง พระคัมภีร์บอกว่า พระองค์ทรงทำให้ศิษย์เกิดความมั่นใจว่า พระองค์ไม่ได้เป็นจิต โดยตรัสว่า "จิตไม่มีเนื้อหนังและกระดูก" (ลก.24:39-43) พระองค์ทรงรับประทานอาหารร่วมกับศิษย์ พระกายของพระองค์มีรอยแผลจากตะปู และรอยที่ถูกแทง
  3. พระศาสนจักรเชื่อว่า ร่างนั้นเป็นร่างจริงของพระองค์ แต่ได้เปลี่ยนสภาพเป็นอีกลักษณะหนึ่ง ที่ไม่เหมือนร่างคนทั่วไป มีลักษณะพิเศษ คือสามารถผ่านสิ่งที่เป็นวัตถุได้ พระองค์สามารถเข้าในห้อง โดยไม่ต้องเปิดประตู และสามารถหายได้โดยฉับพลัน
หนังสือประกอบการเขียน
IN UNDERSTANDING BE MAN : A HAND BOOK OF CHRISTIAN DOCTRINE
BY T.C. HAMMOND

Go Top
Back to Resurrection