Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!
 
  บทที่ 2

พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า ที่มาถึงเรา

พระคัมภีร์เป็นหนังสือสำหรับคนทุกประเภท ไม่ว่าคนหนุ่ม คนแก่ คนที่มีการศึกษาหรือขาดการศึกษา คนร่ำรวยหรือคนยากจน เพราะเป็นหนังสือชี้แนะฝ่ายวิญญาณจิตให้คนได้รับความรอด เพื่อให้ทราบแผนการณ์ของพระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่า “เพราะว่าสิ่งที่เขียนไว้ในสมัยก่อนนั้น ก็เขียนไว้เพื่อสั่งสอนเรา เพื่อเราจะได้มีความหวัง โดยความเพียรและความชูใจด้วยพระคัมภีร์” (โรม 15:4)

ดังนั้น ทุกคนจึงมีความเกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์เป็นส่วนตัวด้วยกันทั้งสิ้น

เราสามารถได้รับประโยชน์จากการอ่านพระคัมภีรมากมาย์ แม้ว่าเราไม่อาจเข้าใจทุกตอนทั้งหมดก็ตาม แต่การที่จะได้รับประโยชน์จากพระคัมภีร์อย่างแท้จริงนั้น ต้องอาศัยการศึกษาอย่างเอาจริงเอาจัง ซึ่งการที่จะทำดังนั้นได้ เราจะต้องมีความรู้พื้นฐานในพระคัมภีร์ 

บทบทเรียนนี้ จะนำท่านให้ถึงความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระคัมภีร์  เเช่น ผู้เขียนพระคัมภีร์ สาระสำคัญ  ความเป็นเอกภาพ และการแบ่งพระคัมภีร์ออกเป็นหมวดหมู่

ในบทเรียนนี้ท่านจะได้ศึกษาในหัวข้อ :

  • ผู้เขียนพระคัมภีร์

       - การดลใจ
           - สิทธิอำนาจ

  • การถ่ายทอดพระคำมายังผู้เชื่อ
  • เอกภาพของพระคำ

       - พันธสัญญาเดิม และพันธสัญญาใหม่
       - การสำแดงอย่างต่อเนื่อง

บทเรียนนี้ จะช่วยท่านให้ :

  • อธิบายว่าพระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นและถ่ายทอดมาถึงเราได้อย่างไร
  • อธิบายหัวเรื่องใหญ่ ๆ และโครงสร้างของพระคัมภีร์

ผู้เขียนพระคัมภีร์

วัตถุประสงค์  ที่ 1 : สนับสนุนความจริงของพระคำพระเจ้า เน้นคุณลักษณะ 2 ประการของพระคัมภีร์

การดลใจ

พระเจ้าทรงดลใจให้ผู้รับใช้ของพระองค์ในการเขียนพระคัมภีร์ ประมาณ 40 ท่าน ในช่วงระยะเวลาประมาณ 1,600 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ เพราะการเขียนของทั้ง 40 ท่านในสถานะการณ์ต่างกันนั้นยังคง มีความเป็นเอกภาพในพระคัมภีร์  นั่นเป็นการยืนยันว่า  พระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังการเขียนพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงดลใจผู้เขียนทุกท่านให้เขียนในสิ่งที่เป็น น้ำพระทัยของพระองค์

การดลใจ ตามความหมายในภาษาเดิมของพระคัมภีร์คือ “การหายใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์” หมายความว่า พระวิญญาณได้ทรงชี้นำความคิดของผู้เขียน เพื่อจะเข้าใจเรื่องนี้ง่ายขึ้นให้คิดถึงตอนที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์จากผงคลีดิน พระองค์ทรงประทานชีวิตแก่เขาโดยระบายลมปราณเข้าไป

นักวิชาการบางคนพยายามชี้ใว่าในพระคัมภีร์ประกอบด้วยความจริงของพระเจ้าแต่ก็ยังมีข้อผิดพลาดด้วย บางคนก็อ้างว่าส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์เท่านั้นที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ผ่านบุคคลที่พระเจ้าพอพระทัย และยังมีบางคนอธิบายว่า พระเจ้าทรงบอกให้ผู้เขียนจดพระคัมภีร์ลงไปทีละคำ ๆ โดยที่ผู้เขียนมิต้องใช้ความคิดเลย สิ่งเหล่านั้นนับเป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องการดลใจทั้งสิ้น

พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าว่า

“พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า ……” (2 ทิโมธี 3:16)

และใน 2 เปโตร 1:21 “เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความคิดจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจเขา”

หากเรายอมรับว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะและของพระเจ้าเป็นความจริง เราจะต้องยอมรับว่าพระคัมภีร์ทั้งเล่ม
ว่าเป็นความจริง
ด้วยเช่นกัน

เราไม่สามารถกล่าวได้ว่าผู้เขียนเป็นเสมือนเครื่องจักรชนิดหนึ่ง ที่ไม่มีอิสระในการตัดสินใจ แม้มีผู้เขียนบางคนไม่เข้าใจในเรื่องที่เขาเขียนทั้งหมดได้ก็ตามที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องคำพยากรณ์ที่ยังไม่สำเร็จ และมีบางท่านได้ศึกษาเป็นเรื่องเป็นราว แล้วเขียนสิ่งต่าง ๆ ขึ้นตามประสบการณ์ของตนเอง ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นเช่นไรก็ตาม แต่ก็ทราบได้ว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เอง ตามที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวไว้ว่า

“และรู้ว่าพระองค์ได้ทรงสำแดงให้ข้าพเจ้ารู้ข้อล้ำลึก ตามที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้แล้วอย่างย่อ ๆ และโดยคำเหล่านั้น เมื่อท่านอ่านแล้วท่านก็รู้ถึงความเข้าใจของข้าพเจ้าในเรื่องความล้ำลึกของพระคริสต์ ซึ่งในสมัยก่อนพระองค์ไม่ได้ทรงโปรดสำแดงแก่มนุษย์เหมือนอย่างบัดนี้ ซึ่งทรงโปรดเผยแก่พวกอัครทูตผู้บริสุทธิ์ และพวกผู้เผยพระวจนะโดยพระวิญญาณ” (เอเฟซัส 3: 3-5)

พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะยืนยันว่าพระคำของพระเจ้าเป็นความจริง

สิทธิอำนาจ

ถ้อยคำในพระคัมภีร์ที่ผู้เขียนแต่ละท่านเขียนขึ้นในครั้งแรกเป็นพระคำที่ดีที่สุดที่พระเจ้าพอพระทัย
และเป็นพระประสงค์ของพระองค์ เพราะพวกเขาเหล่านั้นได้รับการการดลใจจากพระเจ้า เราจึงเชื่อถ้อยคำใน

พระคัมภีร์ว่าเป็นความจริง ถูกต้อง และพระคำของพระเจ้าจะไม่มีวันเสื่อมถอย

พระคัมภีร์นั้นสมบูรณ์แบบ เพราะเป็นพระคำของพระเจ้า จึงไม่จำเป็นต้องมีสิ่งอื่นใดมาเสริมแต่ง และไม่ต้องการตัดออกแต่อย่างไร

เพราะพระคัมภีร์เป็นความจริงแท้ สมบูรณ์ และได้รับการดลใจจากพระเจ้า ผู้ศึกษาพระคัมภีร์หลายคน

ในสมัยพระเยซูกล่าวว่าพระคำของพระเจ้ามี “สิทธิอำนาจ” แม้กระทั่งประชาชนจำนวนมากที่ได้ยินพระเยซูคริสต์ตรัสสอน ก็ยอมรับพระองค์ เขาบอกว่า “เพราะพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ หาเหมือนพวกธรรมาจารย์ของเขาไม่ (มัทธิว 7:29) ความหมายของคำว่าสิทธิอำนาจมี 3 ประการ คือ ความจริงวันสุดท้าย ถ้อยคำที่เป็นทางการหรือกฎหมาย และอำนาจในการสั่งการ พระคำของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจใน 3 ประการดังกล่าวทั้งสิ้น เพราะได้สำแดงความจริงของพระเจ้า ซึ่งเป็นแผนการณ์หนึ่งเพื่อช่วยไถ่มนุษย์ให้รอด และพระคัมภีร์มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคน

เมื่อเรายอมรับสิทธิอำนาจของพระคำพระเจ้า เราก็จะศึกษาพระคำด้วยความเข้าใจดียิ่ง เราจะไม่เพียงพูดว่า นั่นคือพระคำของพระเจ้าแล้วก็ลืมถ้อยคำเหล่านั้นไป แต่จงตอบสนองตามความเป็นจริง นำมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงชีวิต หากเราเข้าใจคำสอนของพระคัมภีร์เราก็ไม่มีความสงสัย อาจารย์เปาโลรู้สึกขอบคุณพระเจ้า ที่ชาวเมืองเธสะโลนิกา ได้ยอมรับพระคำของพระเจ้า “ไม่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้ตามความเป็นจริง คือ เป็นพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งกำลังทำงานอยู่ภายในท่านทั้งหลายที่เชื่อ” (1 เธสะโลนิกา 2:13)

เมื่อเรายึดมั่นในสิทธิอำนาจของพระวจนะ เราก็ยึดมั่นในพระสัญญาของพระองค์ว่าเป็นความจริงและใช้ในการดำเนินชีวิต ดังนั้น ความชื่นบานและสันติสุข จึงอยู่ในชีวิตของเรา เราต้องตอบสนองพระคำด้วยความเชื่อฟังอย่างแท้จริง เมื่อศึกษาพระคำ เราได้สัมผัสถึงการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า เปรียบเหมือนพระเจ้าสนทนากับเราโดยตรงผ่านทางพระคัมภีร์

การถ่ายทอดพระคำมายังผู้ที่เชื่อ

จุดประสงค์ เพื่อให้ทราบว่าพระคัมภีร์เขียนขึ้นอย่างไร และตั้งชื่อพระคัมภีร์

นับเป็นเวลานาน ที่ไม่มีการสำแดงด้วยข้อเขียนใด ๆ จากพระเจ้ามายังมนุษย์มาก่อนเลย แต่พระเจ้าทรงตรัสผ่านบุคคลโดยตรงและทรงนำด้วยการกระทำหลายอย่าง เช่น เมื่อพระเจ้าทรงเรียกอับราฮัม ได้สนทนากับเขาและบรรดาลูกหลานของเขา (ประชาชาติชาวฮีบรู) ว่าคนทั้งโลกจะได้รับพระพร และในบรรดาลูกหลานของฮับราฮัมนั้นเอง พระเจ้าได้เลือกบางคนให้เขียนสิ่งที่พระองค์สำแดง ซึ่งจะได้เรียนต่อไปว่าพระคัมภีร์ถูกเขียนมาอย่างไร และถูกถ่ายทอดมาถึงเราในทุกวันนี้ได้อย่างไรบ้าง

พระเจ้าทรงดลใจโมเสสให้เขียนสิ่งที่พระองค์ทรงสำแดง โดยอธิบายการทรงสร้างมนุษย์ และประทานพระบัญญัติ พระสัญญาและคำพยากรณ์ ดังนั้น โมเสสจึงได้เขียนหนังสือนั้นขึ้นมา

ผู้เขียนแต่ละท่านได้บันทึกพระคัมภีร์แต่ละเล่มบนก้อนหินแผ่นศิลา เป็นแผ่นหนังสือหรือกระดาษม้วน ซึ่งปัจจุบันข้อเขียนต้นฉบับนี้ไม่มีเหลืออยู่แล้ว พระเจ้าอาจจะรักษาสิ่งนั้นได้ แต่ถ้ายังหลงเหลืออยู่ มนุษย์อาจไปกราบไหว้บูชาสิ่งนั้นแทนพระเจ้าก็ได้ เราควรจะต้องนมัสการพระเจ้าเท่านั้น มิใช่สิ่งของหรือสถานที่ที่จะทำให้เราระลึกถึงพระเจ้า

ดังนั้น พระเจ้าทรงนำให้คนที่มีสติปัญญาคัดลอกพระคัมภีร์แต่ละเล่ม ซึ่งยังคงมีสำเนาหลายชนิดหลงเหลือให้เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้เหมือนกัน สิ่งเหล่านั้นถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ หรือห้องสมุดกระจัดกระจายไปทั่วโลก

เป็นเวลาหลายปี ที่พระคัมภีร์ถูกเรียกว่า “หนังสือ” คำว่า “พระคัมภีร์” มาจากภาษากรีกว่า biblia ซึ่งหมายถึง หนังสือ” พระคัมภีร์จึงมีชื่อตามที่ทราบกันทั่วไปว่าเป็นหนังสือตามรากศัพท์ภาษากรีก ชื่อนี้จึงเป็นชื่อเรียกหนังสือทั้ง 66 เล่ม

ผู้ศึกษาพระคัมภีร์ได้ทำการศึกษาค้นคว้าและยอมรับว่าพระคำทั้งหมดได้รับการดลใจจากพระเจ้า ความจริงเราอาจเรียกว่า “แคนนอน” ก็ได้ คำว่าแคนนอน หมายถึงเครื่องมือที่ใช้วัดความเที่ยงตรงมาตรฐาน แคนนอนแสดงว่าสมบูรณ์แบบ เพราะมีหลายสิ่งที่ชาวโบราณได้เขียนเกี่ยวกับพระเจ้า แต่สิ่งเหล่านั้นมิใช่การดลใจ จึงมิได้ถือว่าเป็นการสำแดงใด ๆ เกี่ยวกับพระเจ้าเลย

พระเจ้าปรารถนาให้เราเข้าใจในพระคำของพระองค์ พระเจ้าให้พันธสัญญาเดิม บันทึกเป็นภาษาฮีบรู เขียนขึ้นโดยคนฮีบรู เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจ สำหรับพันธสัญญาใหม่นั้นเขียนขึ้นเป็นภาษากรีก ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันโดยทั่วไปในสมัยพระเยซู

ในทุกวันนี้มีน้อยคนที่รู้ภาษาฮีบรูและภาษากรีกควบคู่กันไป แต่ก็มีคนของพระเจ้าได้แปลพระคัมภีร์ออกเป็นมากกว่า 1,300 ภาษาด้วยกัน อาจจะมีบางภาษาคำแปลเป็นหลายสำนวนด้วยกัน เพื่อที่ทุกคนจำทำความเข้าใจกับข้อความของพระคัมภีร์นั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่จะได้รับความหมายของถ้อยคำต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ฉบับแปลต่าง ๆ กันออกไป แต่เนื้อหาสาระของพระคำไม่เปลี่ยนแปลง

เอกภาพของพระคัมภีร์

จุดประสงค์ เพื่อให้ทราบถึงปัจจัยหลักซึ่งทำให้พระคัมภีร์มีเอกภาพ

ภาคพันธสัญญาเดิมและภาคพันธสัญญาใหม่

พระคัมภีร์มี 66 เล่ม แบ่งออกเป็นพระคัมภีร์เดิม 39 เล่ม และพระคัมภีร์ใหม่ 27 เล่ม แม้กระนั้นก็ยังเป็นพระคัมภีร์เล่มเดียวกัน ประวัติศาสตร์เดียวกัน เรื่องราวเดียวกันทั้งสิ้น แนวความคิดหลักอันสำคัญของพระคัมภีร์แต่ละเล่มคือ แผนการไถ่บาปซึ่งพระเจ้าได้จัดเตรียมไว้สำหรับมนุษย์ พระคัมภีร์เดิมทำนายสิ่งที่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์ใหม่ และพระคัมภีร์ใหม่อธิบายสิ่งที่พระคัมภีร์เดิมได้กล่าวไว้ว่าสำเร็จเช่นไร ทั้งสองภาคทำงานประสานเป็นเอกภาพ เพราะอยู่ภายใต้การดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ศูนย์กลางของพระคัมภีร์ทั้งสองภาคนั้น คือ พระเยซูคริสต์ ซึ่งได้สำแดงพระองค์ในลักษณะพิเศษต่าง ๆ กันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ปฐมกาลสำแดงพระคริสต์ในฐานะพระผู้ทรงสร้าง อพยพสำแดงพระองค์ในฐานะพระผู้ไถ่ ซามูเอล พงษ์กษัตริย์ และพงศาวดาร สำแดงพระองค์ในฐานะกษัตริย์ อิสยาห์สำแดงพระองค์ในฐานะพระมาซีฮา มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น สำแดงพระคริสต์ในฐานะพระมาซีฮา ในฐานะผู้รับใช้พระเจ้า บุตรมนุษย์ และบุตรพระเจ้า ในเมื่อท่านได้ศึกษาพระคัมภีร์แต่ละเล่ม ขอให้สังเกตดูว่าพระธรรมนั้น ๆ สำแดงพระคริสต์ออกในรูปแบบใดบ้าง

คำว่า “พันธสัญญา” หมายถึง “ข้อตกลง” พันธสัญญาเดิมสำแดงข้อตกลงของพระเจ้ากับมนุษย์ในเรื่องการช่วยให้รอด ก่อนที่พระคริสต์จะเสด็จมา ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของธรรมบัญญัติที่ทรงให้โมเสสเป็นผู้บันทึก พันธสัญญาใหม่เป็นข้อตกลงของพระเจ้ากับมนุษย์ ภายหลังพระคริสต์ได้เสด็จมาแล้ว ตั้งอยู่บนพื้นฐานของพระคุณ ซึ่งเป็นเรื่องของการสำแดงความรักอย่างยิ่งใหญ่ต่อมนุษย์ ที่ได้ส่งพระบุตรลงมาตาย และเป็นขึ้นจากความตายเพื่อเราทุกคนจะได้รับชีวิตนิรันดร์

ภาคพันธสัญญาเดิมทำนายการเสด็จมาของพระคริสต์ พร้อมทั้งแสดงให้เห็นจุดอ่อนบางอย่างของบทบัญญัติ อันเนื่องจากระยะเวลาที่จำกัด และเพื่อชนชาติเดียว คือ ยิว ข้อตกลงที่ถูกจำกัดประการหนึ่ง ก็คือ คนทั้งหลายจะต้องถวายเครื่องสัตวบูชาในแต่ละปี เพื่อไถ่โทษความผิดบาปของเขา (ฮีบรู 10 : 4-7, 10, 14)

  1. พระคริตส์ในพระคัมภีร์

พระคัมภีร์เดิม

พระคัมภีร์ใหม่

v ปฐมกาล

พระผู้สร้าง

v มัทธิว

พระมาซีฮา

v อพยพ

พระผู้ไถ่

v มาระโก

ผู้รับใช้พระเจ้า

v ซามูเอล , พงษ์กษัตริย์ , พงศาวดาร

กษัตริย์

v ลูกา

บุตรมนุษย์

v อิสยาห์

พระมาซีฮา

v ยอห์น

บุตรพระเจ้า

พระคัมภีร์ใหม่กล่าวถึงการเสด็จมาของพระคริสต์ซึ่งทำให้คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จ “แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา” (กาลาเทีย 4 :4) บทบัญญัติใหม่นั้นเป็นไปตลอดกาล (ฮีบรู 7:24 , 28) สำหรับชนทุกชาติ (กิจการ 10:34, 35) เพราะได้จ่ายชดใช้ค่าความผิดบาปให้มนุษย์ทุกคนแล้ว สิ่งที่ทำได้ก็คือ การยอมรับของประทานจากพระบุตรของพระเจ้า

และต่อไปจะเป็นการแบ่งพระคัมภีร์ออกเป็นหมวดหมู่

 การสำแดงอย่างต่อเนื่อง

เนื้อหาสาระของพระคัมภีร์เริ่มต้นจากปฐมกาล เรื่องการทรงสร้างโลกและมนุษย์ จบลงด้วยหนังสือวิวรณ์ เรื่องการสิ้นสุดของแผ่นดินโลก ระหว่างปฐมกาลถึงวิวรณ์นั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกิจเรื่องความรอดของมนุษย์ เพื่อเขาจะได้ชื่นชมยินดีกับชีวิตนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์

เมื่ออาดัมและเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาทำความผิดบาป และถูกแยกออกจากพระเจ้าฝ่ายวิญญาณ แต่พระเจ้ายังทรงรักเขา พระองค์ทรงเริ่มต้นวิธีที่จะรักษาวิญญาณจิตของเขา ซึ่งใช้เวลานานกว่าที่มนุษย์จะได้รับการสำแดงจากพระเจ้าในการรักษาฝ่ายวิญญาณจิต ฮีบรู 1:1 , 2 บอกเราว่า

“ในโบราณกาล พระเจ้าได้ตรัสด้วยวิธีต่าง ๆ มากมายแก่บรรพบุรุษของเราทางพวกผู้เผยพระวจนะ แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก พระองค์ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลโดยพระบุตร”

ในทุกวันนี้ เราได้รับการสำแดงอย่างเต็มที่ผ่านทางพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระวาทะอันมีชีวิตอยู่ ซึ่งผู้คนในสมัยพระคัมภีร์เดิมไม่มีโอกาสเช่นนั้น หรือมีเพียงบางส่วนเท่านั้นเอง

เมื่อเวลาผ่านพ้นไป พระเจ้าทรงสำแดงเพิ่มเติมในเรื่องความจริง พระองค์สอน “บรรทัดซ้อนบรรทัด” (อิสยาห์ 28:10) ซึ่งเราเรียกว่า การสำแดงอย่างต่อเนื่อง

พระเจ้าเกี่ยวข้องกับคนในสมัยพระคัมภีร์เดิมแตกต่างไปจากสมัยปัจจุบัน คำสอนของพระคัมภีร์ใหม่ต่อต้านการมีภรรยาหลายคน และการหย่าร้าง ซึ่งแตกต่างไปจากพระคัมภีร์เดิม พระเยซูคริสต์อธิบายว่าสาเหตุที่พระเจ้าเกี่ยวข้องกับมนุษย์ในลักษณะที่แตกต่างกันนั้น ก็เพราะคนเหล่านั้นเข้าใจช้า เขาได้รับการสำแดงความจริงที่น้อยกว่าสมัยของเรา (มัทธิว 19:3-9) เราได้รับความจริงมากกว่า ก็เพราะพระเยซูได้ทรงสำแดงความจริงนั้นแก่เรา

เมื่อท่านได้อ่านและศึกษาพระคัมภีร์ ท่านจะเห็นเอกภาพมากขึ้น เกี่ยวกับแผนการณ์ของพระเจ้าที่มีในชีวิตของท่าน

 

ข้อทดสอบ

เติมคำในช่องว่าง

1.การที่จะเข้าใจพระคัมภีร์ เราต้องยอมรับว่าพระคัมภีร์เขียนขึ้นภายใต้______________________________

2.เพราะพระคัมภีร์ของพระเจ้าเป็นความจริงจึงกล่าวด้วย_______________________ _________________________________________

วงกลมหน้าข้อที่ถูก สามารถเลือกได้มากกว่า 1 คำตอบ

3. เรายอมรับการดลใจของพระคัมภีร์จาก

   ก. พระคำของพระองค์เอง

  ข. คุณสมบัติของข้อความ

  ค. การทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์

4. สิทธิอำนาจของพระคัมภีร์เห็นได้จาก

  ก. ความจริงขั้นสุดท้าย

 ข. ฤทธิ์อำนาจในการเปลี่ยนแปลงชีวิต

 ค. หนังสืออธิบายพระคัมภีร์มากมาย

5. ในสมัยปัจจุบันคำว่า “พระคัมภีร์” หมายถึง

 ก. หนังสือ

 ข. หนังสือกรีก

6. หนังสือถูกแปลออกเป็น 1300

  ก. เล่ม

  ข. ภาษา

7. หนังสือแต่ละเล่มของพระคัมภีร์ ถูกเรียกว่า แคนนอน เพราะ

 ก. หนังสือเหล่านั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นพระคำของพระเจ้า

 ข. หนังสือเหล่านั้นถูกเขียนขึ้นโดย 66 คน

8. ในทุกวันนี้ เรามีพระคัมภีร์ เพราะว่า

  ก. พระคำถูกเขียนขึ้นบนศิลาแข็งแรง

 ข. พระเจ้าทรงนำผู้มีปัญญาในการคัดลอกข้อเขียนเหล่านั้น

 ค. พระเจ้าทรงเก็บรักษาแผ่นศิลาและกระดาษม้วน

9. ข้อใดถูก

 ก. เรื่องหลักของพระคัมภีร์คือ เรื่องการทรงสร้างโลก

ข. พระคัมภีร์เดิมและใหม่ เป็นข้อตกลงของเดิมและใหม่ที่พระเจ้ามีแก่มนุษย์

ค. พระคัมภีร์เดิมและใหม่ทำงานร่วมกัน เพื่ออธิบายถึงแผนการณ์ของพระเจ้าสำหรับมนุษย์

ง. เนื้อหาของแต่ละเล่มในพระคัมภีร์มีศูนย์

10. ข้อความที่บอกถึงการสำแดงอย่างต่อเนื่องของพระคัมภีร์

ก. การสำแดงนั้นเพื่อคนสองสามคน

ข. คนบอกเล่าเกี่ยวกับการทรงสำแดงของพระเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบ

ค. พระเจ้าทรงสำแดงความจริงทีละเล็กทีละน้อยเป็นเวลา

11. ข้อใดเป็นการอธิบายถึงความเป็นเอกภาพของพระคัมภีร์เดิมและใหม่

ก. ทั้งสองเล่มเขียนขึ้นบนม้วนกระดาษ

ข. พระคัมภีร์เดิมพยากรณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์ใหม่

ค. ศูนย์กลางของพระคัมภีร์ทั้งสองเล่มคือ พระคริสต์

ง. พระเจ้าเกี่ยวข้องกับผู้คนเหมือน ๆ กันทั้งในสมัยพระคัมภีร์เดิมและใหม่

จ.  พระคัมภีร์ใหม่สำแดงความจริงเกี่ยวกับพระคัมภีร์เดิม

การอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่ม จะช่วยให้เห็นสิ่งที่คนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อเรียกว่า ความสับสนซึ่งมิได้เป็นเช่นนั้นเลย แท้ที่จริง เป็นการยืนยันถึงความสมบูรณ์แบบของพระวจนะพระเจ้าต่างหาก

คำเฉลย

  1. การดลใจ
  2. สิทธิอำนาจ
  3. ก, ค
  4. ก, ข
  5. ก,ง ผิด ข, ค ถูก
  6. ข, ค, ง                                                                      บทที่  3 >>

GUEST BOOK / WEB BOARD / SHARE&CARE / KIDS CENTER / FAMILY / COMPOSITION / PRAY CENTER / BIBLE STUDY /ARTICLES /MALL CENTER / NEWS / PICTURES / CONTACT US / WEB LINKS / PRAISE&WORSHIP/ HOME