Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!
 



 คำพยานของ อ.จางโบลี่

แปลโดย อ.อรุณี ตั้งอรุณรัศมี

ม้วนที่ ๑ สันติสุขในพระเจ้า

นับเป็นครั้งแรกที่ผมได้มาแบ่งปันในที่สูงที่สุด ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงนำเรามาพบกันที่นี่ ถ้าเราไม่รู้จักในพระเยซูคริสต์เราคงไม่ได้รู้จักกัน เช้าวันนี้ขณะที่ผมอธิษฐานก็คิดถึงพระเจ้าผู้ทรงประทับ ณ.ที่สูง พระองค์ทอดพระเนตรดูภูเขานี้และทรงมองมาที่ใจของเราทุกคน พระองค์ทรงประทานสันติสุขให้ทุกคน

ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้าเราคงไม่พูดว่า ขอสันติสุขของพระเจ้าสถิตกับท่าน เพราะเรายังไม่รู้ว่าสันติสุขมีความสำคัญอย่างไร เราคิดว่า เงินทอง ทรัพย์สมบัติ ความมั่งคั่ง เกียรติสำคัญกว่า จนกระทั่งเราได้มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราจึงตระหนักถึงความสำคัญนั้น ให้เรามาคิดใคร่ครวญดูว่าสันติสุขนี้มีความหมายลึกซึ้งกว้างไกลเพียงไร สมัยที่เป็นเด็กผมคิดว่าสันติสุขมาจากท่านเมาเจ๋อตุง เมื่อท่านออกคำสั่งทุกอย่างต้องเรียบร้อย แม้แต่เวลาที่ท่านจะจากโลกนี้ไปเตียงคนไข้ที่ท่านนอนยังใส่ชื่อท่านไม่ได้ต้องใช้ตัวเลขแทน แต่อำนาจวาสนาก็ไม่สามารถปกป้องชีวิตได้ ผมเคยคิดว่าถ้าจะเป็นใหญ่ก็ต้องมีอำนาจให้ใหญ่กว่าหรือเทียบเท่าท่านเมาผู้นี้ 9เดือนต่อมาหลังจากที่ท่านผู้นำ

ได้จากไป เดือนตุลาคม ปี1976 นางเจียงซิงผู้เป็นภรรยาก็ถูกจับ ผมจึงคิดว่าอำนาจวาสนาไม่ได้ให้สันติสุขที่แท้จริงเลย ในทางตรงกันข้ามอำนาจทำให้เกิดแต่ความบาปชั่ว ชาวจีนที่อพยพมาอเมริกาต่างพยายามทุ่มเทต่อการเรียนและหวังว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาจะหาเงินได้มากๆ ถ้าไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่เสเพล เราก็กล้ายืนหยัดสู้ฟ้าดิน ไม่กลัวสิ่งใดอีก แล้วเราจะมีบ้านมีครอบครัวที่ดี เมื่อนั้นเราต้องมีสันติสุขแน่นอน

เมื่อปีที่แล้วผมพยายามเดินทางไปพบเพื่อนคนหนึ่ง เขาเป็นคนแรกที่ผมรู้จักในอเมริกา เราเป็นเพื่อนกันและคุยกันอย่างถูกคอในเวลาไม่นาน เพื่อนคนนี้ดีต่อผมมาก เขาให้เงินผมเป็นเช็ด 500 เหรียญซึ่งเป็นจำนวนเงินที่นักเรียนอย่างผมต้องทำงานถึง 100 ชั่วโมงทีเดียว ผมซึ้งใจเขามากและคิดว่าเขาต้องเป็นคริสเตียนแน่จึงดีเช่นนี้แต่เขาไม่ได้เชื่อพระเจ้า เมื่อไปถึงผมก็พยายามถามหาเขาจากพวกเพื่อนปรากฎว่าเขาฆ่าตัวตายแล้ว ผมตกใจมากนึกไม่ถึงว่าเขาจะคิดสั้นเพราะเขาเป็นคนที่มีอนาคตดี เขาเดินทางมาศึกษาที่นี่ตั้งแต่อายุ 13 ปีและสามารถเรียนจบด๊อกเตอร์เมื่ออายุเพียง 25 ปี ชีวิตมีทุกอย่างไม่ว่าชื่อเสียง เงินทอง เกียรติแต่ต้องมาจบชีวิตอย่างอนาถ ต่อมาทราบว่าสาเหตุที่เขาฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากคนรัก 

เขารับไม่ได้ที่คนรักจากเขาไป ผมเสียใจมากที่ไม่ได้ประกาศเรื่องพระเยซูให้เขาฟัง ถ้าเขารู้จักความรักของพระเจ้าคงไม่ต้องเป็นอย่างนี้ คนที่ทุ่มเทความรักและชีวิตให้กับผู้หญิงช่างน่าสมเพศจริงๆ ถ้าได้พบพระเยซูชีวิตของเขาคงมีความหวังมากกว่านี้ พระองค์จะช่วยให้เขาสามารถสู้ชีวิตต่อไปและให้เขาก้าวไปข้างหน้าได้ ผมคิดถึงพระธรรมโรม 8:35-37 เปาโลได้กล่าวว่า “ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราต้องขาดจากความรักของพระเจ้าได้ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ ความยากลำบาก การเคี่ยวเข็ญ การกันดารอาหาร การเปลือยกายหรือการถูกโพยภัย การถูกคมดาบ เราสามารถมีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าแม้ความตายหรือชีวิตหรือบรรดาทูตสวรรค์หรือเทพเจ้าหรือสิ่งซึ่งอยู่ในปัจจุบัน หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้าหรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งที่สูงหรือซึ่งที่ลึก หรือสิ่งใดๆอื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้นจะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” พระธรรมตอนนี้ได้ให้กำลังใจผมมากในช่วง 2 ปีที่ต้องหลบหนี ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตามความรักของพระคริสต์จะอยู่ในใจตลอดเวลา

วันก่อนเราพึ่งผ่านการฉลองวันคริสต์มาสซึ่งเป็นวันแห่งสันติสุข ทำให้ผมหวนคิดถึงเมื่อ 9 ปีที่แล้วซึ่งเป็นเวลาที่ผมได้พบความรอดที่แท้จริง วันนั้นสันติสุขมีความหมายสำหรับผมเป็นครั้งแรก ผมได้รู้ว่าสันติสุขที่แท้อยู่ในพระเยซูนั่นเอง ในพระธรรมยอห์น 14:27และ 16:33 ได้ยืนยันเช่นนั้น ด้วยพระธรรม 2 ตอนนี้ก็ได้ให้กำลังผมตลอดมา เพราะพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานสันติสุขนี้แก่ผม เมื่อ 9 ปีที่แล้วในวันที่ 4 มิถุนายนผมพบว่าชีวิตขาดสันติสุข ความตายอยู่ข้างๆตัวตลอดเวลา ความตายไม่ใช่เรื่องของคนแก่อีกต่อไป เมื่อพวกทหารเข้ายึดจตุรัสเทียนอันเหมิน 

เพื่อนๆหลายคนต้องหลั่งเลือดอยู่ข้างๆ ชีวิตในวินาทีต่อไปจะอยู่รอดหรือไม่ ไม่มีใครทราบ ชีวิตเหมือนว่าวที่ลอยอยู่ในท้องฟ้า เมื่อสายป่านขาดลงว่าวก็ลอยไปอย่างไร้จุดหมาย ชีวิตในวัยเด็กผมเป็นคนจริงจังมีเป้าหมายชีวิตชัดเจน ผมรู้ว่าต้องเรียนจากประถม มัธยมแล้วก็เข้ามหาวิทยาลัย จบแล้วหางานทำหรือเรียนวิชาชีพเพิ่ม จากนั้นก็มีครอบครัว ชีวิตของพวกเราเช่นกันก็ดำเนินไปจนกระทั่งอายุ 40 ปีเราจึงหยุดและเริ่มพิจารณาชีวิตว่าจะทำอะไรต่อไป แต่ชีวิตไม่ได้อยู่ที่ใครจะลิขิตได้เอง เรามุ่งหน้าเข้ามหาวิทยาลัยเพราะสังคมเป็นผู้กำหนดโดยที่เราก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำ

ปี 1989 ทุกสิ่งสิ้นสุดลง ความฝันในวัยเด็กที่จะเป็นใหญ่อย่างเมาเจ๋อตุงก็จบลงด้วย 
พวกเราถูกตามจับ ถูกสอบสวน เราต้องหนีจากเทียนอันเหมิน พวกเราพยายามจับมือกันเหนียวแน่นจะไม่ทิ้งกันเมื่อมีคนถูกตีเราก็จะอุ้มไว้โดยไม่ปริปากว่า มีคนคุมงานคนหนึ่งลูกน้องของเขาถูกฆ่าตายจึงเอาปืนมาเพื่อยิงต่อสู้ พวกผมและอาจารย์ได้คุกเข่าขอร้องไม่ให้ตอบโต้เพื่อไม่ให้เรื่องร้ายแรงกว่าที่เป็นอยู่นี้ เวลานั้นทุกคนรู้สึกหดหู่ใจและไม่รู้ว่าอนาคตต่อไปจะเป็นอย่างไร วันที่ 9 มิถุนายน 
1989 พวกเพื่อนๆ ขอให้เราหนีมิฉะนั้นต้องถูกจับติดคุก เพื่อนบางคนหนีไปฮ่องกง แต่ผมพูดภาษากวางตุ้งไม่เป็นสักคำถ้าหนีคงถูกจับได้แน่ๆ ผมขึ้นรถไปเทียนจิงนั่นเป็น
ครั้งแรกที่คิดถึงคำว่า พระเจ้า ชีวิตมนุษย์ไม่มีใครกำหนดได้ แม้แต่วันพรุ่งนี้เราก็กำหนดไม่ได้วินาทีต่อไปผมจะไปไหนยังไม่ทราบ 

เพื่อนคนหนึ่งส่งผมมาที่สถานีรถไฟซึ่งเป็นสถานีที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งในเอเซีย พวกเจ้าหน้าที่มากันมากมายมีมากกว่าประชาชนที่จะเดินทางเสียอีก ผมถามเพื่อน
ว่าจะหนีไปไหนดี เพื่อนบอกแล้วแต่พระเจ้าจะพาคุณไปก็แล้วกัน ผมพยายามดูหมายเลขรถจากจอ
คอมพิวเตอร์แต่เครื่องเกิดขัดข้อง ในที่สุดผมตัดสินใจต้องมอบตัวเองให้กับพระเจ้า ผมเห็นรถขบวนหนึ่งมาจากซานตงจะไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ผมตัดสินใจขึ้นขบวนนั้นทันทีแล้วมอบตัวเองกับพระเจ้าผู้ทรงลิขิตชีวิตมนุษย์ ซึ่งเวลานั้นผมก็ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงนำผมอยู่แต่ที่เลือกขึ้นขบวนนี้เพราะผมพอจะพูดภาษาของ
ทางเหนือได้บ้างจะช่วยอำพลางความเป็นนักศึกษาของผมได้ วันที่ 13 มิถุนายน 1989 ผมไปถึงชายแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งมีหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่นั่น

ต่อมารัฐบาลประกาศรายชื่อนักศึกษาที่ร่วมขบวนการของหวังตันจำนวน 21 คน เพื่อนสนิทมากคนหนึ่งพูดว่า “ขออย่าให้มีชื่อคุณอยู่ด้วยเลย” ผมตอบเขาว่าไม่เป็นไร ถึงอย่างไรคุณคงไม่ทิ้งผม คุณก็พอเลี้ยงผมได้นี่ เพื่อนคนนี้สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เราโตมาด้วยกัน เมื่อผมเข้ามหาวิทยาลัยเขาก็เรียนสายอาชีพ ตอนนั้นเขารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะช่วยผมทุกทาง แต่พอรายชื่อนักศึกษา 21 คนปรากฏบนจอทีวีความสัมพันธ์ของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาไม่กล้าสบตายผมได้แต่มองข้างฝา ผมพยายามสบตาเขาแต่เขาก็หลบทุกที ความรักของมนุษย์มีขอบเขตจำกัดและมีเงื่อนไขเสมอ แม้เราจะเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแต่ในเวลานี้เขาไม่กล้ารับผมอีกแล้ว ผมจำได้ว่าเป็นเวลาทุ่มครึ่งเมื่อทีวีประกาศรายชื่อ ชื่อผมถูกประกาศพร้อมรูปถ่ายบรรยายถึงลักษณะต่างๆ ของผม “นายจาง โบ ลี่ นักศึกษาวัย 26 ปี สูง 175 ซม. ผิวคล้ำ ตาพอง จมูกบาน ปากหนา” ฟังแล้วน่าขำ แต่เวลานั้นหัวเราะไม่ออก กลัวมาก ถ้าผมไปไหนใครก็จำผมได้ ผมได้แต่หวังว่าเพื่อนจะรั้งผมไว้เพราะข้างนอกฝนตกหนัก เสียงฟ้าร้องดังสนั่น เมื่อเปิดประตูออกผมยังหวังว่าเขาจะเรียกผมกลับมาค้างแล้วคืนพรุ่งนี้ค่อยเดินทางแต่ผมไม่ได้ยินเสียงนี้เลย ผมเดินออกมาอย่างไร้จุดหมายสายฝนเทลงมาพร้อมกับน้ำตาของผม ผมตัดสินใจจะไม่ไปหาเพื่อนคนใดอีกเพื่อจะรักษาความสัมพันธ์แห่งเพื่อนไว้ เพื่อวันหนึ่งถ้าผมได้กลับมาเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ ผมเปลี่ยนชื่อตัวเองใหม่ว่า “หวังเหล่าซือ” และพยายามทำตัวให้เหมือนชาวบ้านธรรมดาและลืมอดีตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชื่อแซ่ ตำแหน่ง ความรู้ ความสามารถ ทำตัวให้เป็นเช่นชาวนารับจ้างไปตามบ้าน

 

GUEST BOOK / WEB BOARD / SHARE&CARE / KIDS CENTER / FAMILY / COMPOSITION / PRAY CENTER / BIBLE STUDY /ARTICLES /  MALL CENTER / NEWS / PICTURES / CONTACT US / WEB LINKS /HOME /PRAISE&WORSHIP