ก่อนกำเนิดสวนโมกข์
(พ.ศ. ๒๔๔๙-๒๔๗๔)
(ต่อ)
เมื่ออายุครบ
๒๐
ปีบริบูรณ์
นายเงื่อมก็อุปสมบทเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
ตามประเพณีที่สืบทอดกันมา
ถึงแม้จะได้เคยอ่านพบเรื่องเกี่ยวกับพระอรหันต์
แต่ก็มิได้คิดไกลไปถึงว่า
จะทดลองปฏิบัติดู
รู้สึกเพียงแค่ว่า
"น่าสนใจและอาจจะมีประโยชน์"
ดังนั้น
เมื่อแรกบวช
จึงคิดว่าจะดำรงสมณเพศอยู่เพียงช่วงเข้าพรรษาในเวลา
๓
เดือนเท่านั้น
แต่จากความสามารถที่มีอยู่ในด้านของการอภิปราย
และโต้ธรรมะได้อย่างฉาดฉานมาตั้งแต่ก่อนบวช
ทำให้พระเงื่อมได้กลายเป็นพระนักเทศน์ที่มีชื่อในตำบลนั้น
ในเวลาไม่กี่วันหลังบวช
โดยริเริ่มดัดแปลงการเทศน์ที่ทันสมัย
มีการสอดแทรกข้อคิดและเรื่องน่าฟังต่างๆ
ทำให้เกิดความเพลิดเพลินแก่ผู้ฟัง
มากกว่าวิธีการอ่านตามใบลานอย่างซ้ำซากน่าเบื่อ
การได้ขบคิดเตรียมการเทศน์
และประสบผลสำเร็จในกิจดังกล่าว
ทำให้ชีวิตพระในพรรษาแรก
ผ่านไปด้วยความเพลิดเพลิน
จนกระทั่ง
เมื่อครบกำหนดลาสิกขา
พระเงื่อม
ก็ยังไม่คิดจะลาไปใช้ชีวิตฆราวาส
ประกอบกับน้องชาย
คือ
นายยี่เกย
ลาออกจากการเรียนที่กรุงเทพฯ
กลับมาอยู่เป็นกำลังช่วยมารดาประกอบการค้า
เปิดทางให้พี่ชายได้บวชเรียนต่อ
จนถึงสอบนักธรรมโทได้ในปีต่อมา
แล้วนาย
เสี้ยง พานิช
ผู้เป็นอา
ซึ่งผลักดันให้หลานชายบวชเรียนมาแต่ต้น
ก็ได้เร่งเร้าพระเงื่อมไปเรียนนักธรรมเอกที่กรุงเทพฯ
เพื่อหวังจะให้เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล
ความคิดคล้อยตามของพระเงื่อมที่จะเล่าเรียนต่อในทางธรรมนั้น
มาจากความสนุกสนานของการได้คิดค้นสอนธรรมะ
และทำงานแปลกใหม่
แต่สภาพความย่อหย่อนในพระวินัยของพระสงฆ์ที่ตนพบนั้น
ตรงข้ามกับความคาดหมายของตน
ที่เข้าใจว่า
กรุงเทพฯ
เป็นที่รวมของพระอรหันต์ผู้น่าเลื่อมใส
ทำให้พระเงื่อมเกิดความเบื่อหน่าย
และเกรงว่าตนเองจะเริ่มเอนเอียงตามไปในทางไม่ถูกด้วย
อยู่กรุงเทพฯ
ได้ไม่กี่เดือน
จึงคิดจะกลับบ้านเพื่อลาสิกขา
แต่เมื่อกลับถึงบ้านก็จวนเจียนจะเข้าพรรษาแล้ว
จึงตัดสินใจบวชไปอีกพรรษาหนึ่งก่อน
โดยใช้เวลาเรียนนักธรรมเอกต่อด้วยตนเอง
จนกระทั่งสอบได้
และได้รับการชักชวนให้ไปเป็นครูสอนนักธรรม
ที่โรงเรียนนักธรรมวัดพระธาตุไชยาซึ่งเพิ่งเปิดใหม่
สอนอยู่ ๑ ปี
มีผลงานดีเด่น
สามารถสอนให้นักเรียนสอบได้ยกชั้น
ในขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับงานสอนนี้
อาเสี้ยงก็ได้มาจูงใจพระเงื่อมอีกครั้ง
ให้ขึ้นกรุงเทพฯเพื่อเรียนบาลี
ในปี ๒๔๗๓
พระเงื่อมจึงขึ้นกรุงเทพฯอีกครั้ง
คราวนี้แตกต่างจากครั้งก่อน
ด้วยพระเงื่อมตั้งใจไว้ว่า
จะไม่สนใจประพฤติปฏิบัติของพระเณร
มุ่งแต่จะไปศึกษาบาลี
เพื่อให้มีความรู้พอที่จะศึกษาค้นคว้าได้เอง
และเพื่อที่จะคว้าเปรียญธรรม
๓ ประโยค
ให้ได้เป็น "มหาเงื่อม"
ตามค่านิยมที่ยกย่องกันอยู่ในเวลานั้น
แต่เมื่อไปเรียนอยู่ได้ไม่กี่วัน
ก็ให้รู้สึกเบื่อระบบการเรียนการสอนที่อืดอาดล่าช้า
และขาดความอิสระในการคิด
จึงสมัครใจเรียนเองอยู่ที่วัดปทุมคงคา
กับพระครูซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน
จนกระทั่งสามารถสอบ
ปธ.๓ ได้เป็น "มหาเงื่อม"
สมดังตั้งใจ
ทำให้พระมหาเงื่อมเกิดความคิดที่จะเรียนต่อให้สูงขึ้นไปอีก
จึงตัดสินใจอยู่กรุงเทพฯ
เพื่อเรียนต่อ
ปธ.๔
แต่แล้วช่วงการเรียน
ปธ.๔ นี้เอง
ได้นำไปสู่จุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางความคิดของพระหนุ่มจากไชยาผู้นี้
เมื่อมีโอกาสได้ศึกษาค้นคว้ากว้างขวางออกไปจากตำราที่เรียนอยู่
และได้อ่านพบข่าวคราวการฟื้นฟูพระศาสนาในศรีลังกาและอินเดีย
ตลอดจนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในตะวันตก
แต่ที่สำคัญที่สุด
คือ
การได้เริ่มศึกษาพระไตรปิฎกโดยตรงด้วยตนเอง
แทนที่จะศึกษาจากอรรถกถา
ซึ่งเป็นการตีความพระไตรปิฎกโดยอรรถกถาจารย์
ตามหลักสูตรการศึกษาโดยทั่วไป
ทำให้พระมหาเงื่อมได้ค้นพบว่า
การเรียนปริยัติธรรมตามแบบที่เป็นอยู่เป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย
เพราะเรียนอย่างยึดถือตามตำราโดยปราศจากการคิดค้น
ทบทวนและวิเคราะห์วิจารณ์และเมื่อตนเองพยายามศึกษาตามแนวทางดังกล่าว
ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากคนอื่น
ไม่ว่าจะเป็นครูอาจารย์หรือเพื่อนร่วมชั้น
ทำให้ต้องทนเรียนตามๆ
ไปอย่างซังกะตาย
และผลก็คือ
พระมหาเงื่อมสอบตก
ปธ.๔
ในที่สุดตามที่คาดไว้
เวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ความคิดต่างๆ
ซึ่งสะสมมาตลอดระยะเวลาของการอุปสมบท
และความรู้ทางธรรมะที่ได้จากการอ่านหนังสือธรรมะมาเป็นเวลานาน
ได้เริ่มตกผลึก
อุดมคติเริ่มก่อเกิดขึ้นในใจ
พระมหาเงื่อมได้ตระหนักแล้วว่า
ประโยชน์แห่งพุทธศาสนามิใช่เพื่อไขว่คว้าเปรียญธรรม
หรือเพื่อโต้เถียงเอาสนุกดังที่ตนเคยคิด
หากแต่พระบรมศาสดาได้ชี้นำทางแห่งชีวิตอันประเสริฐ
ที่จะพ้นจากความทุกข์
และมีชีวิตอันสงบอย่างยั่งยืนด้วย
เพียงแต่ว่า
หนทางดังกล่าว
มิอาจได้มาด้วยการเรียนตามแนวทางและแนวคิด
ที่ยึดถือกันอยู่ในเวลานั้น
แต่ใครเล่าจะเชื่อสิ่งที่พระมหาหนุ่มผู้สอบตก
ปธ.๔ ผู้นี้
หนทางเดียวที่จะทำคุณค่าแห่งพุทธศาสนา
ที่ตนเองเชื่อถือศรัทธาให้ปรากฏเป็นจริงได้
ก็คือการศึกษาและทดลองตามแนวทางที่ตนเองเชื่อมั่นอย่างจริงจังเท่านั้น
แล้วพระมหาเงื่อมก็ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวมุ่งหน้าที่จะกลับบ้าน
ด้วยหัวใจที่พร้อมแล้ว
ที่จะอุทิศให้แก่พระศาสนา
เพื่อนำชีวิตอันประเสริฐมาปรากฏแก่ชนร่วมสมัยให้จงได้..
บทความ
โดย อรศรี
งามวิทยาพงศ์
จากหนังสืออนุทินภาพ
๖๐ ปี
สวนโมกข์ :
พฤษภาคม
๒๕๓๕
ลงตีพิมพ์ใหม่ในหนังสือ พุทธสาสนา
ปีที่ ๖๘ เล่ม ๒ พุทธศักราช
๒๕๔๓ |